ในเดือนกันยายน ปี 1972 การโจมตีของผู้ก่อการร้ายในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ได้ถูกตีแผ่สดๆ ต่อหน้าคนดูโทรทัศน์กว่า 900 ล้านคนทั่วโลก และนำมาซึ่งโลกใหม่แห่งความรุนแรง ที่คาดเดาไม่ได้
มันคืออาทิตย์ที่ 2 ของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อน และในมิวนิค เยอรมันตะวันตก เกมส์การแข่งขันที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น โอลิมปิคแห่งความสงบและความสุข เดินหน้าไปสู่จุดเริ่มต้นอันเร้าใจ เมื่อนักว่ายน้ำ มาร์ก สปิตซ์ และนักยิมนาสติค โอลก้า คอร์บัต ทำให้ผู้คนถึงกับตื่นตะลึง จู่ๆ โดยปราศจากคำเตือน กลุ่มชาวปาเลสไตน์หัวรุนแรง ที่รู้จักกันในชื่อ "แบล็คเซปเทมเบอร์" ได้บุกหมู่บ้านโอลิมปิค และลงมือสังหารสมาชิกสองคนของทีมโอลิมปิคอิสราเอล และยังจับตัวประกันเอาไว้อีก 9 ราย การสังหารหมู่ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรม ที่ต่อมาได้ถูกนำเสนอผ่านทางโทรทัศน์ต่อหน้าคนทั่วโลก และสิ้นสุดในอีก 21 ชั่วโมงต่อมา เมื่อ จิม แม็คเคย์ ได้กล่าวถ้อยคำที่ตามหลอกหลอนว่า "พวกเขาตายหมดแล้ว"
ขณะที่ความสยดสยองที่เมืองมิวนิค กลายเป็นภาพที่ผู้คนได้เห็นและรู้สึกไปทั่วโลก ความลับหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังคงไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง บัดนี้ จากฝีมือของผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็คือภาพยนตร์เรื่อง Munich ภาพยนตร์ทริลเลอร์ ที่อิงเรื่องราวจากเหตุการณ์ในเมืองนิวนิค ปี 1972 และภารกิจแก้แค้น ที่ติดตามมาโดยกลุ่มมือสังหาร ซึ่งเป็นที่รู้จักในหน่วยสืบราชการลับของอิสราเอลว่า "ปฏิบัติการความพิโรธของพระเจ้า" ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการสังหารที่รุนแรง และอาจหาญที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ในรายละเอียดที่มีความชัดเจนและตึงเครียด ภาพยนตร์เรื่องนี้ นำพาคนดูไปสู่การเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งเข้ากันได้ดี กับอารมณ์แบบเดียวกันในชีวิตของพวกเราในปัจจุบัน...
ใจกลางของเรื่องนี้ก็คือ แอฟเนอร์ (อีริค บาน่า) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองหนุ่มชาวอิสราเอลผู้รักชาติ แอฟเนอร์ที่ยังคงเศร้าสลดไปกับเหตุการณ์สังหารโหดที่มิวนิค รู้สึกโกรธแค้นไปกับความรุนแรงของเหตุการณ์นี้ แอฟเนอร์ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่มอสแซ็ดที่ชื่อ เอเฟรม (เจฟฟรีย์ รัช) ผู้เสนอให้เขาปฏิบัติภารกิจ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เขาขอให้แอฟเนอร์ทิ้งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์เอาไว้เบื้องหลัง สละซึ่งตัวตน และแฝงตัวเพื่อปฏิบัติภารกิจตามล่า และลงมือฆ่าคนจำนวน 11 คน ที่ถูกกล่าวหาโดยหน่วยข่าวกรองของอิสราเอล ว่าเป็นผู้วางแผนเหตุการณ์สังหารโหดที่มิวนิค
ถึงแม้จะยังหนุ่มและขาดประสบการณ์ แต่ในไม่ช้า แอฟเนอร์กลับกลายเป็นผู้นำของทีม ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกสี่คน ที่มีความหหลากหลายแต่มีความสามารถสูง อันประกอบไปด้วย สตีฟ (แดเนียล เคร็ก) คนขับรถที่เกิดที่อัฟริกาใต้, ฮานส์ (ฮานน์ส ซิสช์เลอร์) ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ผู้มีความสามารถในการปลอมแปลงเอกสาร, โรเบิร์ต (แมทธิว คาสโซวิตซ์) ช่างทำของเล่นชาวเบลเยี่ยม ที่ผันตัวเองมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิด และ คาร์ล (เซียแรน ไฮนด์ส) ผู้เงียบขรึม ซึ่งมีหน้าที่ทำความสะอาดร่องรอยของคนอื่นๆ
จากเจนีวาจนถึงแฟรงเฟิร์ต, โรม, ปารีส, ไซปรัส, ลอนดอน และเบรุต แอฟเนอร์และทีมของเขาเดินทางไปทั่วโลก ภายใต้การปิดบังความลับสุดยอด พวกเขาต้องตามล่าคนแต่ละคน ที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อเป้าหมายที่ถูกเก็บไว้เป็นความลับ และต้องลงมือลอบสังหารที่มีการวางแผนการมาเป็นอย่างดี โดยเป็นการสังหารเหยื่อทีละคน การทำงานนอกกฎเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างชาติ ต้องเดินทางร่อนเร่ไปโดยปราศจากบ้านหรือครอบครัว ความเกี่ยวพันเพียงอย่างเดียวของพวกเขากับความเป็นมนุษย์ กลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งเมื่อการทะเลาะวิวาทเริ่มต้น ชายทั้งสี่เริ่มเถียงกันเอง เกี่ยวกับคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ว่า "เรากำลังฆ่าใครกันแน่ มันเป็นเรื่องสมเหตุผลหรือไม่ มันจะหยุดความสยดสยองได้หรือ"
เมื่อพวกเขาเกิดความสับสน ระหว่างความต้องการความยุติธรรม และความสงสัยที่เพิ่มมากขึ้น ภารกิจนี้จึงเริ่มฉีกทึ้งจิตวิญญาณของแอฟเนอร์และทีมของเขา และเห็นได้ชัดว่า ยิ่งพวกเขาออกตามล่าเป้าหมายนานมากขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตกอยู่ในอันตราย ของการตกเป็นผู้ถูกล่ามากขึ้น...