หากย้อนกลับไปเมื่อ 26 เมษายน 2529 ได้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ขึ้นที่หน่วยที่ 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ประเทศยูเครน จนเวลาล่วงไปกว่า 240 ชั่วโมง ไฟที่ลุกไหม้และการปล่อยกัมมันตภาพรังสีไม่สามารถถูกควบคุมได้ จนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2529 หลังเกิดเหตุระเบิดดังกล่าว รัฐบาลมีคำสั่งให้ดำเนินการสร้าง "โลงศพโบราณ" สิ่งห่อหุ้มขนาดใหญ่ที่ทำด้วยคอนกรีตเพื่อปกคลุมเครื่องปฏิกรณ์หน่วยที่ 4 ที่ถูกทำลาย
โลงศพนี้ถูกออกแบบมาเพื่อหยุดการปล่อยรังสีที่มหาศาลที่เพิ่มขึ้นสู่บรรยากาศและภายในเดือนพฤศจิกายน 2529 โลงศพโบราณที่ห่อหุ้มเครื่องปฏิกรณ์ได้สร้างเสร็จสิ้น โดยใช้เหล็กกล้ามากกว่า 7,000 ตัน และคอนกรีต 410,000 ลูกบาศก์เมตร โลงศพโบราณถูกออกแบบมาให้มีอายุ 20-30 ปี ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือความไม่มั่นคง เพราะมันถูกสร้างอย่างรีบเร่ง เหล็กที่เป็นคานหนุนถูกกัดกร่อน ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อของโครงสร้างทั้งหมด น้ำได้รั่วซึมเข้าไปในโลงศพผ่านทางรูบนหลังคาและถูกปนเปื้อนด้วยกัมมันตภาพรังสี จากนั้นจึงไหลซึมผ่านพื้นเครื่องปฏิกรณ์ลงสู่ดินข้างใต้
ผลวิจัยบางสำนักคาดการณ์ว่าหายนะจากนิวเคลียร์ครั้งต่อไปในระดับความรุนแรงเท่ากับที่เชอร์โนบิลจะเกิดขึ้นอีกที่เชอร์โนบิล เนื่องจากมีเกราะป้องกันที่บอบบางและยังคงมีสารตกค้างมากกว่า 95% ภายในสิ่งห่อหุ้มนั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกหากโลกศพโบราณทลายลง ความสุญเสียจะหวนกลับมาอีกครั้งหรือไม่ ส่วนจะมีแผนเตรียมรับมือ ป้องกันอย่างไรนั้น ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ