ในขณะที่ นัฐพล (อรุชา โตสวัสดิ์) เดินทางมากับคณะนักโบราณคดีที่มาทำงานขุดค้นซากวัตถุโบราณ แอบไปขุดหาร่องรอยของ ปอบหยิบ ที่ตกหน้าผาและหายสาบสูญไปเมื่อ 20 ปีก่อน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อนในคณะนักโบราณคดีถูกฆ่าตาย ศพถูกขัดไว้บนต้นไม้ในสภาพถูกแหวะท้อง ควักไส้ออกไป คณะนักโบราณคดีจึงช่วยกันตามหาคนร้ายจนพบ หยิบ ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ และคิดว่า หยิบ เป็นฆาตกร แต่เมื่อจะช่วยกันจับ หยิบ กลับถูก หยิบ ไล่ทำร้ายจนต่างหนีเอาตัวรอดเข้ามาในหมู่บ้านใกล้ ๆ
หลังจากมาดูสภาพศพของผู้ตายและลงความเห็นเป็นฝีมือของ ปอบ ผู้ใหญ่บ้านก็พา นัฐพล และเพื่อน ๆ นักโบราณคดีที่รอดตายไปพักในหมู่บ้านชั่วคราวเพื่อรอเจ้าหน้าที่มาสอบปากคำ ทองรำไพ (ฉัตรชนก สิงห์สถาน) ซึ่งเป็นภรรยาของผู้ใหญ่บ้านถือโอกาสมาทำความรู้จักกับคณะนักโบราณคดี และแสดงท่าทีเชิญชวนให้ชายหนุ่มทุกคนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตน ทำให้ ขวัญทิพย์ (กุลธิดาฐ์ อักษรนันทน์) หญิงสาวที่เรียนจบระดับปริญญาตรีแต่กลับมาอยู่ดูแลยายซึ่งมีอายุมากแล้ว เกิดความรังเกียจกลุ่มนักโบราณคดี เพราะเจ้าชู้ไม่เลือก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ทองรำไพ เป็นภรรยาของผู้ใหญ่บ้าน ในขณะที่กลุ่มเพื่อนหนุ่มในหมู่บ้านซึ่งชอบประดิษฐ์คิดค้น งานศิลปะ และสะสมวัตถุโบราณ พยายามทำความสนิทสนมกับคณะนักโบราณคดี เพราะในกลุ่มนั้นมีหญิงสาวที่น่าสนใจรวมอยู่ด้วย
ขวัญทิพย์ มองเห็นปัญหาของชาวบ้าน จึงแนะนำให้ชาวบ้านปลูกข้าวแค่พอกิน ไม่ปลูกข้าวเพื่อขาย และสร้างโรงสีเพื่อสีข้าวเองจะได้ไม่ต้องขายข้าวราคาต่ำให้กับพ่อค้า เถ้าแก่โรงสีซึ่งมีอิทธิพลต่อชาวบ้านในฐานะเจ้าหนี้เงินกู้และกำลังกว้านซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาจึงไม่พอใจ ขวัญทิพย์ ดังนั้น เมื่อนักโบราณคดีอีกคนหนึ่งถูกฆ่าตาย เถ้าแก่โรงสีจึงกล่าวหาว่ายายของ ขวัญทิพย์ เป็น ปอบ ที่ฆ่านักโบราณคดีตาย และถ้ายายเป็น ปอบ ขวัญทิพย์ ก็จะต้องเป็น ปอบ ไปด้วย ทางเดียวที่จะทำให้คนในหมู่บ้านปลอดภัยก็คือ ต้องขับไล่วิญญาณ ปอบ ออกจากยายของขวัญทิพย์ หรือขับไล่ ขวัญทิพย์ และยายออกไปจากหมู่บ้าน
แท้ที่จริง 20 ปีที่ผ่านไป หยิบ ได้รับการพามารักษาตัวโดยผู้มีความชำนาญด้านสมุนไพรมาตลอดโดยไม่มีใครระแคะระคาย ขวัญทิพย์ ซึ่งแวะเวียนมาเอายาสมุนไพรไปรักษายายอยู่เสมอก็รู้เพียงว่า ผู้ที่ผสมยาสมุนไพรให้เธอไปรักษายายจนยายค่อย ๆ มีอาการดีขึ้นตามลำดับ กำลังแอบรักษาหญิงแก่คนหนึ่งให้หายจากโรคประหลาดด้วยยาสมุนไพรและกินอาหารมังสวิรัติมาเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ด้วยความอดอยากอาหารสดคาวที่เคยกิน เมื่อมีโอกาส หยิบ จึงมักแอบออกไปหาอาหารประเภทเนื้อสัตว์กินเสมอ จนมีชาวบ้านบางคนมาพบและรู้ว่า หยิบ ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อเถ้าแก่โรงสีติดต่อหมอผีมาทำพิธีขับไล่วิญญาณปอบออกจากยายของ ขวัญทิพย์ หมอผีกลับถูกฆ่าตาย ศพถูกขัดไว้บนต้นไม้ ท้องถูกแหวะเอาไส้ออกไป โดยไม่มีใครเห็นตัวฆาตกร มีแต่หยิบคนเดียวเท่านั้นที่บังเอิญผ่านมาเห็นศพ ชาวบ้านจึงเชื่อว่า หยิบ คือคนร้าย แต่เถ้าแก่โรงสีก็พยายามทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่า หยิบ ตกหน้าผาตายไปนานแล้ว วิญญาณปอบของ หยิบ มาเข้าสิงยายของ ขวัญทิพย์ เมื่อยายของ ขวัญทิพย์ ออกมาฆ่าคน จึงมีท่าทางแบบ หยิบ ต้องไล่ยายของ ขวัญทิพย์ และ ขวัญทิพย์ ออกไปจากหมู่บ้านให้ได้ แต่เมื่อเถ้าแก่โรงสีนำความคิดของตนไปเสนอผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านกลับไม่เห็นด้วย โดยแย้งว่า ถ้าหมู่บ้านมีปอบ หมู่บ้านก็จะมีจุดขาย เป็นที่น่าสนใจของคนที่อยากรู้อยากเห็นอยากพิสูจน์ เมื่อมีคนมาเที่ยวชมหมู่บ้านมาก ๆ คนในหมู่บ้านก็จะมีรายได้ ทั้งจากที่พัก การขายอาหารและขายสินค้า ไม่ช้าหมู่บ้านก็จะเจริญ
เถ้าแก่โรงสีเห็นผู้ใหญ่บ้านไม่เห็นด้วยกับตนจึงว่าจ้างคนมาลักพาตัว ขวัญทิพย์ ไปฆ่า แล้วโยนความผิดให้ปอบในวันที่มีพิธีบวชนาคประจำปี อันเป็นประเพณีของหมู่บ้าน แต่ผู้ใหญ่บ้านมาขัดขวางและนำตัว ขวัญทิพย์ หลบเข้าไปในป่าลึกเพื่อฆ่าทิ้งแล้วโยนความผิดให้เถ้าแก่โรงสี เพราะตนไม่ต้องการให้หมู่บ้านมีปอบมากกว่า 1 ตัว ในขณะที่ผู้ใหญ่บ้านจะฆ่า ขวัญทิพย์ นัฐพล กับ หยิบ ก็ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ตามมาช่วย ขวัญทิพย์ ไว้ได้ทัน ผู้ใหญ่บ้านกลัวความผิดและถูกเปิดเผยความลับจึงกลับเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อพา ทองรำไพ หนี หยิบ ตามมาอาละวาดในขบวนแห่นาคจนเกิดโกลาหลเพื่อบอกให้ชาวบ้านรู้ว่าฆาตรกรที่แท้จริงคือผู้ใหญ่บ้าน แต่ชาวบ้านกลับมัวแต่หนี หยิบ จึงปล่อยให้ผู้ใหญ่บ้านกับ ทองรำไพ หลบออกไปจากหมู่บ้านจนได้
หลังจากเหตุการณ์ร้ายผ่านพ้นไป หยิบ หายไปจากหมู่บ้านอย่างไร้ร่องรอย ขวัญทิพย์ กับ นัฐพล เข้าใจกันได้มากขึ้น ร่วมมือกันสร้างโรงสีขนาดเล็กให้ชาวบ้าน ด้วยการสนับสนุนของเถ้าแก่โรงสี และระหว่างหลบหนีไปหมู่บ้านอื่น ทองรำไพ เกิดอาการหิวอย่างหนัก ผู้ใหญ่บ้านจึงดักฆ่าคนที่ผ่านมาแล้วแหวะท้องให้ ทองรำไพ กินไส้ ขัดศพผู้ตายไว้บนคาคบไม้ก่อนที่จะพากันเดินทางต่อไป