ปฐมเหตุ จุลศักราช 582 (พุทธศักราช 1763)
ลโวทยปุระ หรือกรุงละโว้ราชธานี ศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรขอม ซึ่งเคยแผ่อิทธิพล ครอบครองดินแดนสุวรรณภูมิตอนล่างมาช้านาน ถูกพระยาแกรก กษัตริย์ไทยผู้เรืองเดชานุภาพ โค่นล้มล่มสลายไปแล้ว ส่วนทางด้านตอนบน ซึ่งมีเขมรราชปุระเป็นศูนย์อำนาจ รวมทั้งเมืองบริวารใหญ่น้อย ก็ถูกชนเผ่าไทย อันประกอบด้วยขุนศรีอินทราทิตย์ ขุนผาเมือง ขุนบางกลางท่าว และเจ้านครอื่นๆ อีกหลายหัวเมือง รวมกำลังกันโค่นล้มอำนาจขอม ยกพลเข้าโจมตีเขมราชปุระ แตกพ่ายยับเยิน พระเจ้าสุเรนทราวรมัน ผู้ครองนครต้องอาวุธสิ้นพระชนม์ ราชวงศ์ล่มสลาย ราษฎรที่รอดตายและหลบหนีไม่ทัน ถูกกวาดต้อนเป็นทาสเชลย กระจัดพลัดพรากไปคนละทิศละทาง ขุนหาญศึก (เอกพันธ์ บันลือฤทธิ์) เจ้าเมืองเชียงอินทร์ ก็กวาดต้อนครัวขอมมาเป็นเชลย เช่นเดียวกับเจ้าเมืองอื่น ซึ่งในจำนวนเชลย เหล่านั้นมี นางตาราวตี (ลักขณา วัธวงส์ศิริ) กับ แม่เฒ่ากาลา (พิสมัย วิไลศักดิ์) ผู้เป็นย่าทวดรวมอยู่ด้วย
ตาราวตี ซึ่งกำลังรุ่นสาวหน้าตาสะสวย ถูกคัดเลือกเป็นสนมนางห้ามบำเรอเจ้าเมืองด้วยความจำใจ เนื่องจากนางมีจิตปฎิพัทธ์ผูกพันอยู่กับ เจ้าฟ้าแจ้ง (ณัทธร สมคะเน) นักรบหนุ่มคนหนึ่งของขุนหาญศึก ทั้งคู่รักลอบพบปะกันและถูกจับได้ เจ้าฟ้าแจ้งถูกตัดคอ ส่วนตาราวตีถูกคุมขังไว้ใต้ถุนปราสาท รอการประหารด้วยการเผาทั้งเป็น ก่อนวันประหาร นางเฒ่ากาลาได้รับอนุญาต ให้เข้าเยี่ยมญาติรุ่นโหลนเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อสั่งเสียร่ำลากัน
แม่เฒ่ากาลา จอมขมังเวทย์วัยเกินร้อยห้าสิบปี เพิ่งผ่านการประกอบพิธีเรียกสารปรอท ประจุอาคมเข้มขลังทรงมหิทธานุภาพเข้าร่างกาย เพื่อยืดชีวิตยืนยาวออกไปโดยไม่มีกำหนด แต่ชะตากรรมของโหลน ซึ่งนางรักใคร่ห่วงใยยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ทำให้แม่เฒ่าตัดใจยอมสละความเป็นอมตะ ถ่ายทอดพลังชีวิตนิรันดร์ พร้อมทั้งคาถากำกับบทสั้นๆ ให้ตาราวตี (ภาษาเขมร - จีเวียะ เจยย์ กาลล์ - ชีวิตยืนยาวไร้กาลสิ้นสุด) ก่อนที่ร่างชราของเจ้าตัว จะยุบแฟบห่อเหี่ยว ผุกร่อนยุ่ยสลายกลายเป็นภัสมธุลีไปในบัดดล
รุ่งขึ้นถึงวันประหาร ตาราวตีก็ถูกพันธนาการติดเสาหินต้นใหญ่ กลางที่ประชุมชน และสุมฟืนจุดไฟลุกโพลง ซึ่งนางก็ตั้งสติจรดสมาธิแน่วแน่ โอมอ่านท่องทวนคาถาบทสั้นๆ ของย่าทวดตลอดเวลาโดยไม่หวั่นไหวว่อกแว่ก พอไฟโหมหนักท่วมท่อนล่าง จิตวิญญาณก็ถอดกายทิพย์ออกจากกายเนื้อ ซึ่งถูกแม่พระเพลิงเผาไหม้ไปกว่าครึ่ง นางจึงถอดได้แต่หัวกับไส้ เห็นเป็นเงาสีน้ำเงินสว่างเรืองลอยหนีหายลับ
ขณะเดียวกัน ที่หมู่บ้านเล็กๆ นอกเมืองห่างออกไปไกลพอประมาณ นางดาว (ลักขณา วัธวงส์ศิริ) ลูกสาวของเฒ่าดวง (ฉัตร มงคลชัย) ได้ล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และสิ้นลมหายใจกระทันหัน ญาติพี่น้องรวมทั้ง เจ้ารุ่ง (นักรบ ไตรโพธิ์) หนุ่มคนรัก กำลังจะเตรียมงานศพ จิตวิญญาณของตาราวตีได้โอกาสเข้าสวมร่างแทน ทำให้สาวรุ่นลูกสาวเฒ่าดวง ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาโดยไม่มีใครคาดฝัน
แต่การคืนชีพครั้งนี้ เธอกลับกลายเป็นคนที่อารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดแปรปรวนสับสน บางทีก็เป็นตาราวตี และ พูดภาษาขอม บางหนก็กลับมาเป็นสาวดาวคนเดิม พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้เพื่อนบ้านมองด้วยสายตาแปลกๆ และซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา ล้วนแต่ในแง่ที่ไม่เป็นมงคลทั้งสิ้น นางเอื้อย ซึ่งแอบหลงรักอ้ายรุ่งอยู่ และโกรธแค้นที่นางดาวกลับฟื้นขึ้นมาเป็นก้างขวางคอ ฉวยโอกาสปรักปรำ กล่าวหาว่าเป็นเพราะผีเจ้าเข้าสิง แถมยังพยายามชักจูงยุยงคนอื่นๆ ให้คล้อยตาม
แต่ไม่ว่าใครจะคิดยังไง อ้ายรุ่งก็ยังมั่นคงต่อคนรักไม่เปลี่ยนแปลง และไม่เห็นว่านางดาวจะผิดปกติตรงไหน เช่นเดียวกับเฒ่าดวงผู้เป็นพ่อ ซึ่งห่วงใยในอาการป่วยไข้ของบุตรสาว มากกว่าที่จะสนใจเรื่องอื่น
ขณะเดียวกัน อีกคนหนึ่งที่ชาวบ้านต่างพากันเพ่งเล็งว่า จะถูกผีร้ายเข้าสิงสู่คือ ยายจัน หญิงชรารูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์วัยกว่าหกสิบ ซึ่งอาศัยอยู่ที่กระท่อมท้ายหมู่บ้านตามลำพัง กระท่อมของแกไม่มีใครอยากเฉียดใกล้ นอกจากหลานสาวชื่อ นางแก้ว ที่คอยส่งข้าวส่งน้ำเป็นประจำ กับเด็กซนๆ ลูกทะโมนสามสี่คน ซึ่งมักออกไปยิงนกยิงหนู หรือหาของป่าในละแวกใกล้เคียง
ล่วงเข้ากลางคืน ตาราวตีในร่างของนางดาวก็ลุกออกจากที่นอน เที่ยวค้นหาของกินในบ้านด้วยความหิวโหย แต่ก็ไม่เจอของสดของคาวที่ต้องการดับกระหาย พอเฒ่าดวงผู้เป็นพ่อได้ยินเสียงผิดปกติ และร้องถามเธอก็กลับเข้าห้องนอน แล้วถอดหัวลอยออกนอกหน้าต่าง
ช่วงเวลานั้น หัวขโมยสองคน ซึ่งลักควายจูงหนีข้ามทุ่งมา กำลังถูกเจ้าของควายพาพรรคพวก แกะรอยตามล่าอย่างไม่ลดละ เมื่อจวนตัว ทั้งคู่ก็ทิ้งควายไว้ที่ชายทุ่ง และเปิดหนีเอาตัวรอด ปีศาจสาวซึ่งหิวจัดสบจังหวะเหมาะ พุ่งเข้าจู่โจมกัดหลอดลมควายล้มลงขาดใจ แล้วกัดกระชากเปิดท้อง ลากตับไตไส้พุงออกมากิน พวกเจ้าของควายตามมาพบเข้า พากันเตลิดหนีด้วยความตกใจกลัว และขนานนามปีศาจร้ายว่า "อีผีลากไส้" ตามพฤติกรรมสยดสยองที่พบเห็น หลังจากอิ่มหนำแล้ว ปีศาจสาวตาราวตีก็ลอยกลับบ้าน และคืนเข้าร่างเดิม
รุ่งเช้า ยายจันออกไปปลดทุกข์ และเจอซากควายถูกแหวะท้องนอนตายที่ชายทุ่ง นางจึงแอบตัดเอาเครื่องในที่ยังเหลือส่วนหนึ่งกลับกระท่อม ส่วนนางดาวตื่นขึ้นมา เห็นเงาตัวเองในตุ่มน้ำ มีแต่คราบเลือดเปรอะ เลอะเทอะเต็มปากคอและผมเผ้า เธอรีบจัดการชำระด้วยความตื่นตระหนก และงุนงงไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น กัดกินเครื่องในเป็นประจักษ์พยานให้เห็นอยู่เต็มตา สร้างความตื่นพรั่นหวั่นกลัวแก่ชาวบ้านยิ่งนัก และเมื่อมีคนไปพบเครื่องในควายบางส่วน ตกหล่นบริเวณใกล้ๆ กระท่อมยายจัน ใครต่อใครก็พากันเพ่งเล็งหญิงชราหนักขึ้น พอตกค่ำเข้าไต้เข้าไฟ ทุกเหย้าเรือนต่างก็เตรียมการป้องกันทั้งผู้คน และสัตว์เลี้ยงเป็นโกลาหล แต่ละบ้านจัดแจงชักบันไดขึ้น ปิดประตูหน้าต่างดับไฟเงียบเชียบ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่รู้สึกหวาดกลัวไปด้วย อย่างเช่นเฒ่าแจ้งกับอ้ายบุญสัปเหร่อประจำวัด ซึ่งคลุกคลีกับผีสางซากศพจนคุ้นเคยชิน มองเห็นเป็นของธรรมดา ทั้งคู่ยังคงชวนกันกินเหล้า เมาแอ่นเดินกลับบ้านค่ำมืดดึกดื่นเป็นประจำเช่นเคย
ดึกสงัด ปีศาจร้ายในคราบสาวดาว ก็ถอดหัวล่องลอยออกหากินตามประสา และเมื่อมุ่งไปยังคอกขังวัวควายของชาวบ้าน ก็ปรากฎว่าทุกแห่งถูกสะหนามไว้หนาแน่น ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ ปีศาจสาวจึงหันไปเล่นงานไก่ในเล้าแทน ซึ่งการที่ไก่ตายเพียงคืนละสองสามตัว เจ้าของกลับคิดว่าเป็นฝีมือพังพอน หรือไม่ก็เสือปลา แต่ถึงอย่างไร ชาวบ้านก็ยังไม่วายหวาดผวาอีผีลากไส้ที่น่าพรั่นพรึง
หลายคืนต่อมา ปีศาจสาวย่ามใจออกอาละวาดหนักขึ้นโดยฆ่าไก่ตายเป็นเบือ ขากลับยังลอยผ่านสองสัปเหร่อเฒ่าแจ้งกับอ้ายบุญ ซึ่งต่างก็มองเห็นถนัดว่า เป็นผู้หญิงผมยาวลอยพุ่งไปทางเรือนเฒ่าดวง ทิศทางเดียวกับกระท่อมยายจัน
เวลาเดียวกัน แม่เอื้อย ลูกสาวเฒ่าอิน (นิวัติ พูลศิริ) หัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งสะดุ้งตื่นเพราะเสียงหมาเห่ากรรโชก สะกิดปลุกแม่อ้อยน้องเล็ก ลุกขึ้นชะเง้อมองทางหน้าต่าง ก็เห็นดวงไฟสว่างเรือง ลอยหายลับไปทางเรือนเฒ่าดวงเช่นกัน
รุ่งขึ้น อ้ายตื้อก็แล่นไปแจ้งเฒ่าอินนายบ้าน เรื่องไก่ที่เลี้ยงไว้ ถูกฆ่ากินเลือดและตับไตไส้พุงตายหมดทั้งเล้า ซึ่งไม่ใช่พฤติกรรมของเสือปลา หรือพังพอที่มักฉกไปกินทีละตัวสองตัว แต่มันน่าจะเป็นการกระทำของอีผีลากไส้ และเมื่อรู้จากสองสัปเหร่อขี้เมาว่า ผีร้ายเป็นผู้หญิงผมยาว ลอยหายไปทางเรือนเฒ่าดวงกับกระท่อมยายจัน ส่วนใหญ่ก็ปักใจว่า ต้องเป็นนางดาวกับยายจัน คนใดคนหนึ่งแน่นอน แต่นางดาวถูกสงสัยน้อยกว่า เพราะกลางวันเธอเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาๆ ไม่น่าจะมีฤทธิ์เดชอะไร
ฝ่ายนางดาวก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ พอถึงกลางคืนเธอพยายามตั้งสติ แข็งใจต่อต้านขัดขืนสุดฤทธิ์ แต่ก็สู้อำนาจวิญญาณร้ายไม่ได้ ต้องถอดหัวล่องลอยออกหากิน โดยที่สำนึกส่วนหนึ่ง รับรู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไร ออกหากินคราวนี้ปรากฏว่า เล้าไก่ทุกบ้านถูกสะสุมด้วยพงหนามแน่นหนา เช่นเดียวกับคอกวัวควาย เธอต้องหันเหออกไปจับกบเขียดกินกลางทุ่งนา และปะทะกับงูเห่าแทบเอาตัวไม่รอด
เมื่อผีลากไส้เปลี่ยนทำเลหากิน ไม่รบกวนสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้าน และหายเงียบไป ผู้คนก็เริ่มเบาใจคลายวิตก และใช้ชีวิตกันไปตามปกติ พอตกค่ำบรรดาเด็กซนๆ ลูกทะโมนก็ชักชวนกันออกส่องกบจับจิ้งหรีดตามทุ่งนา แต่ก็ผ่าไปเจอผีลากไส้ ต้องเผ่นหนีตกน้ำท่ากันชุลมุนวุ่นวาย
หมดฝนกบเขียนในนาไม่มี ปีศาจร้ายก็หวนกลับเข้ามาหากินในหมู่บ้าน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประจวบเหมาะกั่บที่ นางแวว เมียอ้ายผา (ราชันย์ บุญชูวงศ์) เพื่อนสนิทของอ้ายรุ่ง ซึ่งท้องแก่ครบกำหนดคลอด ผีลากไส้จึงเข้าไปป้วนเปี้ยน วนเวียนรอบๆ บ้านด้วยความหิวโหย เพื่อหาโอกาสฉกเอาทั้งรก และเด็กอ่อนที่เพิ่งคลอดมาเป็นอาหาร กลุ่มชาวบ้านที่มาเฝ้าดูแลคอยช่วยเหลือแม่ลูกอ่อนเห็นเข้า จึงพากันระดมพลออกไล่ล่า
ปีศาจสาวถูกไล่ต้อนไปเข้ามุมอับ ต้องหลบซ่อนและพยายามกลั้นลมหายใจ เพื่อไม่ให้เกิดแสงวูบวาบ แต่ในที่สุดก็กลั้นไม่ไหว ต้องสูดลมหายใจเต็มแรง เปล่งแสงสว่างวาวจ้า ทำให้ชายคนหนึ่งที่เข้ามาใกล้ ตื่นตระหนกสะดุ้งสุดตัว เธอจึงฉวยโอกาสพุ่งออกจากวงล้อม และถูกรุกไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งถึงบ้าน และลอยหนีเข้าหน้าต่างห้องนอน แต่เมื่อชาวบ้านบุกขึ้นเรือนเฒ่าดวง ต่างก็ได้พบว่านางดาวยังนอนอยู่ในสภาพปกติ ถึงกระนั้นแทบทุกคนนอกจากอ้ายรุ่งก็ปักใจเสียแล้วว่า เธอคืออีผีลากไส้
หลังจากนั้นไม่นาน เฒ่าดวงก็จับได้ด้วยตัวเองว่านางดาวเป็นผีร้าย ขณะที่เธอถอดหัวออกไปหากิน โดยทิ้งร่างไว้บนที่นอน และแม้ชายชราจะถือว่าบุตรสาวได้ตายไปแล้ว ก็ไม่อาจหักใจเข่นฆ่า หรือแม้ทำร้ายร่างกายที่เคยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ได้แต่ไล่ตะเพิดออกจากบ้าน สาวเคราะห์ร้ายจึงต้องซมซานจากเรือนพ่อ กระเซอะกระเซิงไปไหนก็ไม่มีใครต้อนรับ ท้ายที่สุดก็ต้องไปอาศัยอยู่กับอ้ายรุ่งคนรักจนได้เสียกัน
ชาวบ้านต่างซุบซิบนินทาที่อ้ายรุ่งอยู่กินกัยผีลากไส้ และพากันตีตัวออกห่าง ตั้งข้อรังเกียจไม่ยอมคบหาสมาคมด้วย ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่นำพา เพราะถือว่าไม่ได้ขอข้าวใครใส่ท้อง ในเวลาเดียวกัน คืนไหนที่ผัวเผลอหรือหลับสนิท นางดาวหรือตาราวตี ก็ถอดหัวล่องลอยออกหากินเช่นเดิม และ จะเช็ดปากกับผ้าที่ตากทิ้งไว้ตามราว เพื่อลบร่องรอยเปรอะเปื้อน ทุกครั้งก่อนกลับบ้าน
คืนหนึ่ง อ้ายรุ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาขณะทีเมียรักกำลังถอดหัวออกจากร่างพอดี เขาเพิ่งเชื่อเอาตอนนี้เองว่า นางดาวเป็นปีศาจร้ายที่น่าสะพรึงกลัว แต่อ้ายรุ่งก็เช่นเดียวกับเฒ่าดวง ที่ไม่อาจตัดใจเข่นฆ่าคนเคยรักกันปานจะกลืน เขาจึงเผ่นไปหาอ้ายผาเพื่อนสนิท แล้วพากันไปพบท่านพระครูเจ้าอาวาส เพื่อปรึกษาหารือขอความช่วยเหลือ
ท่านพระครูนั่งทางในตรวจสอบดูเสร็จสรรพ ก็ชี้แจ้งกับคนทั้งสองว่า ความจริงนางดาวตายไปแล้ว เหลือเพียงจิตวิญญาญที่ยังไปไหนไม่ได้ และถูกครอบงำด้วยอำนาจปีศาจร้าย ซึ่งเป็นเจตภูตของผู้เรืองเวทย์วิทยาคมแก่กล้าจากเมืองขอม ซึ่งปีศาจชนิดนี้ ชาวขอมเรียกว่า "อาป" ซึ่งแปลว่า กระสือ
ส่วนวิธีล้างอาถรรพ์และขับไล่ปีศาจร้าย คือใช้ไฟเผา แต่ก็ดูจะเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนโหดร้าย เพราะมันเหมือนจับคนที่ยังมีชีวิตมาเผาทั้งเป็น ทางออกที่ดีกว่าคือการเผาด้วยตาไฟ ที่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปจะไม่รู้สึกร้อน แต่ภูตผีปีศาจ จะร้อนไหม้ทรมานทรกรรมจนเหลือจะทน ซึ่งท่านพระครูเองก็มีวิชานี้ติดตัว เนื่องจากเป็นศิษย์เอกจองฤษีตาไฟ (สมัยนั้นพระดาบส หรือฤษีตบะแก่กล้ามีอยู่จริง พ่อขุนรามคำแหง หรือพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย กับพระยางำเมืองแห่งอาณาจักรพะเยา ก็เคยร่ำเรียนวิชาสารพัด จากพระฤษีดอยด้วน และสุกกทันตฤษีแห่งกรุงละโว้ เป็นศิษย์เอกร่วมอาจารย์เดียวกัน) ดังนั้น ท่านพระครูจึงต้องรับหน้าที่ปราบปีศาจ "อาป" หรือ กระสือโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ตาราวตีหรือนางดาวออกหากินครั้งสุดท้าย และเช็ดปากกับผ้าที่ตากไว้บนชานเรือนเฒ่าอิน และเมื่อลอยกลับถึงบ้านคืนสภาพปกติ อ้ายรุ่ง อ้ายผา และท่านพระครู ซึ่งรอเวลาอยู่แล้ว ก็จัดแจงตั้งศาลเพียงตาโดยวางหัวฤาษีไว้บนศาล หันหน้าเข้าหาเรือนอ้ายรุ่ง ก่อนจะประกอบพิธีบวงสรวงเทพยดาบูชาคณาจารย์ จากนั้น ท่านพระครูก็โอมอ่านมหาเวทฤษีตาไฟ ซึ่งเป็นคาถาบทสั้นๆ เพียงสี่พยางค์ -- ละสี มะนี อะคิ เตโจ (แปลเป็นไทย คือ ฤษี มุนี อัคคี เตโช) ท่อนทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเร่งความเร็วขึ้นเป็นลำดับ ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มวิปริต กดดันหน่วงหนักขึ้นทุกขณะ
ตาราวตีในร่างของนางดาวสะดุ้งตื่น ด้วยความตระหนกพรั่นพรึง แต่ไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น หัวฤษีบนศาลก็เปิดตาที่ 3 กลางหน้าผาก ส่องแสงสว่างสาดเข้าจับเต็มตัว เกิดเปลวไฟโหมไหม้รุนแรง จนปีศาจสาวทนไม่ได้ ต้องละทิ้งร่างนางดาวถอดเจตภูติลอยหนี แต่ก็ยังถูกไฟอาถรรพ์แผดเผามอดไหม้จนสิ้นฤทธิ์ กลายเป็นดวงวิญญาณเล็กๆ ลอยขึ้นสู่เบื้องบน นั่นแหละ หัวฤาษ์ถึงได้ปิดตาที่ 3 แสงสว่างและเปลวไฟหายวับ ทุกอย่างคืนเข้าสู่สภาวะปกติ ร่างนางดาว สาวเคราะห์ร้ายนอนสงบนิ่ง โดยปราศจากร่องรอยไฟไหม้และลมหายใจ เนื่องจากเธอได้ตายไปก่อนแล้ว
ทุกอย่างจบสิ้นในเวลารุ่งเข้าพอดี แม่อ้อย น้องเล็กของนางเอื้อย ซึ่งกำลังแตกเนื้อสาว เพิ่งลุกจากที่นอนออกมาล้างหน้าบ้วนปากนอกชาน เสร็จแล้วใช้ผ้าผืนที่ตากไว้บนราวเช็ดปากและหน้าตา มันเป็นผ้าผืนเดียวกับที่ปีศาจกระสือ เช็ดปากเมื่อตอนกลางคืนนั่นเอง ..ดวงตาของแม่อ้อยสาวรุ่น แตกประกายลุกวาบ !