สองนักบินหนุ่มคนกล้า ราฟ แม็คคอว์ลีย์ (เบน แอฟเฟล็ค) และ แดนนี่ วอล์คเกอร์ (จอช ฮาร์ทเน็ตต์) ซึ่งเติบโตสนิทสนมกันราวกับเป็นพี่น้อง พวกเขาได้รับการฝึกฝน ให้ขับเครื่องบินกำจัดแมลงศัตรูพืช และในยามที่ชาติต้องการ พวกเขาก็พร้อมเข้าร่วมเป็นนักบิน ประจำกองทัพอากาศสหรัฐฯ ราฟหลงรัก เอเวลีน จอห์นสัน (เคท เบคคินเซล) นางพยาบาลสาวสวยจิตใจห้าวหาญ ที่ทำงานในกองทัพเรือสหรัฐฯ ทันทีที่ราฟได้รู้จักกับเอเวลีน เขาก็ตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง แต่ข้างฝ่ายเอเวลีน กลับไม่แน่ใจว่าเขารักเธอจริง
ด้วยความหาญกล้าเปี่ยมอุดมการณ์ ราฟได้เข้าร่วมกองร้อยอินทรี กลุ่มนักบินอาสาสมัครชาวอเมริกัน, แคนาดา, ออสเตรเลีย, สวีเดน และอีกหลายประเทศชาติเป็นกลาง ที่สมัครใจเข้าร่วมรบกับนักบินอังกฤษ ในสมรภูมิรบอังกฤษ (Battle of Britain) ทิ้งคนรักใหม่กับเพื่อนสนิทของเขาไว้เบื้องหลัง โดยเขาได้ให้สัญญาว่าจะกลับมา เอเวลีนเองรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก กับการตัดสินใจของราฟ ที่จะพาตัวเองเข้าสู่อันตราย จากนั้นราฟก็เหินเวหาสู่ช่องแคบอังกฤษ ขณะที่ทั้งเอเวลีนและแดนนี่ โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในดินแดนฮาวาย - เพิร์ล ฮาร์เบอร์
ก่อนหน้าวันที่ 7 ธันวาคม 1941 เพิร์ล ฮาร์เบอร์ เป็นดั่งแดนสวรรค์อันสวยงาม แม้ว่าแดนนี่กับเอเวลีนจะไม่ได้สร้างสัมพันธ์ระหว่างกันให้งอกเงยเป็นความรัก แต่เขาทั้งสองก็มีเพื่อนสนิทที่อยู่ที่นั่นด้วย อาทิ เพื่อนของราฟและแดนนี่ที่ชื่อ เรด (อีเวน เบรมเนอร์) กับพยาบาลสาวคนรักของเขาที่ชื่อ เบ็ตตี้ (เจมี่ คิง), บิลลี่ (วิลเลี่ยม ลี สก็อตต์) นักบินฝึกหัดจากนิวยอร์ค รวมถึงบรรดานางพยาบาลซึ่งย้ายมาทำงานด้วยกัน - บาร์บาร่า (แคทเธอรีน เคลล์เนอร์) และ แซนดร้า (เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์) และที่นั่นพวกเขาได้รู้จักกับ เอิร์ล (ทอม ไซส์มอร์) ช่างเทคนิคเครื่องบินมากความสามารถ และ กูซ (ไมเคิล แชนน่อน) นักบินหนุ่มเลือดร้อน หน้าใหม่ของกองร้อยการบิน
กองบัญชาการย่อย เวสท์เวอร์จิเนีย (West Virginia) ซึ่งตั้งอยู่ที่ฟอร์ด ไอส์แลนด์ ควบคุมดูแลโดย ดอริส มิลเลอร์ (คิวบา กู๊ดดิ้ง จูเนียร์) มิลเลอร์ได้รับเหรียญกล้าหาญ จากการยิงเครื่องบินญี่ปุ่นตกสองลำ และช่วยชีวิตกัปตันเอาไว้ได้ เขาเป็นคนอัฟริกัน-อเมริกันคนแรก ที่ได้เกียรติจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายหลังจากที่ได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่นั้นไม่นาน มิลเลอร์ก็พลีชีพให้กับการรบในสงครามโลกครั้งที่ 2... เมื่อเรือรบที่เขาร่วมอยู่ด้วยถูกถล่มจมลงกลางทะเล หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น มิลเลอร์ก็ยังไม่ได้รับการใส่ใจยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ เนื่องจากอาวุธปืนที่เขาใช้ (ซึ่งต้องการน้ำหล่อเลี้ยงระหว่างการใช้งาน) ร้อนจนไหม้เสียหาย นายทหารที่ทำให้อาวุธหนักได้รับความเสียหาย จะต้องถูกทำโทษ มิลเลอร์เองก็ตระหนักดีถึงกฎข้อบังคับดังกล่าว
แดนนี่, เอเวลีน, ดอริส และบรรดาผู้ใช้ชีวิตอยู่ในเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ต่างก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างสงบเงียบ ไม่เคยมีใครคาดคิดกันมาก่อน ว่าการจู่โจมแบบสายฟ้าฟาด จะเกิดขึ้นกับพวกเขาแบบทันไม่รู้เนื้อรู้ตัว การจู่โจมครั้งสำคัญที่เกิดขึ้น ณ เพิร์ล ฮาร์เบอร์ ทั้งทางน้ำและทางอากาศ ของกองทัพจักรพรรดิญี่ปุ่น เป็นการกระทำที่สั่นคลอนเสถียรภาพของโลก และกลายมาเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ไม่มีใครลืมได้ลง
ก่อนหน้านั้น.. วันที่ 26 พฤศจิกายน 1941 เรือดำน้ำ 20 ลำ, เรือดำน้ำขนาดเล็กอีก 5 ลำ พร้อมด้วยเรือรบขนาดใหญ่ 2 ลำ, เรือลาดตระเวน 3 ลำ, เรือพิฆาต 11 ลำ, เรือขนลำเลียง 6 ลำ, เรือบรรทุกน้ำมันอีก 8 ลำ, เครื่องบินรบกว่า 423 เครื่อง... ทั้งหมดเครื่องขบวนออกจากอ่าวทันกัน (Tankan Bay) ประเทศญี่ปุ่น มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดยไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนว่า พวกเขาได้รับมอบหมายภารกิจ ให้ไปโจมตีสหรัฐฯ ณ เกาะฮาวาย ระหว่างการเคลื่อนทัพ นายพลเรืออิโซโรกุ ยามาโมโตะ (มาโกะ) ก็ส่งรหัสสัญญาณไปยัง นายพล ชูอิชิ นากูโม่ ว่า 'นิอิตาคะ ยามา โนบูเระ - ปีนภูเขานิคิตะ' ซึ่งหมายความถึง ให้เริ่มดำเนินภารกิจได้แล้ว ในวันที่ 2 ธันวาคม นายพลนากูโม่ได้รับคำสั่งให้เปิดซองลับ เกี่ยวกับภารกิจครั้งสำคัญ ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า... นั่นคือการประกาศสงครามกับสหรัฐฯ, อังกฤษ และฮอลล์แลนด์
เวลาเช้า 6:45 ของวันที่ 7 ธันวาคม 1941 (วันที่ 8 ธันวาคม - ตามเวลาในประเทศญี่ปุ่น) เครื่องบินรบฝูงแรกก็ทะยานขึ้น จากดาดฟ้าเรือรบญี่ปุ่นอะคาจิ ภายใต้การควบคุมของ นาวาโท มิทซูโอะ ฟูชิดะ ลูกระเบิดกว่า 183 ลูก ถูกทิ้งลงจากเครื่องบิน สู่หาดโออาฮุ ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
เครื่องบินรบฝูงแรกแยกเป็นสามกลุ่มย่อย นาวาโทฟูชิดะพร้อมด้วยเครื่องบินรบรุ่นเคท (หนึ่งในสามรุ่นของเครื่องบินรบญี่ปุ่นที่ใช้ในสงคราม) จำนวน 89 ลำ มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ เป้าหมายคือ ฟอร์ด ไอส์แลนด์ ขบวนรบที่สองและสาม แยกออกจากกันไปตามแนว ไวอะลัว วัลลีย์ (Waialua Valley), ชูฟิลด์ บาร์แร็คส์ (Schofield Barracks), วีลเลอร์ ฟิลด์ (Wheeler Field), ฮิคแฮม ฟิลด์ (Hickam Field), เบลโลว์ส ฟิลด์ (Bellows Field) และ คาเนโอ เบย์ (Kaneohe Bay)
เครื่องบินรบฝูงที่สองจำนวน 168 ลำ มุ่งหน้าสู่หาดโออาฮุ ในเวลาประมาณ 8:40 น. เป้าหมายคือฐานที่มั่นกองทัพสหรัฐฯ เครื่องบินรบญี่ปุ่นรุ่นซีโร่, เคท และวัล มากกว่า 350 ลำ บินอยู่เหนือน่านฟ้ามืดฟ้ามัวดิน พร้อมทั้งทิ้งระเบิด รัวปืนเข้าใส่ประดุจห่าฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีในครั้งนั้น
เรื่องราววีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของผู้คน ได้ก่อกำเนิดขึ้นจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ความเปลี่ยนแปลงจากเหตุการณ์วันที่ 7 ธันวาคม 1941 ไม่ได้สิ้นสุดลงที่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ของกองกำลังทหารสหรัฐฯ แต่กลับเป็นจุดเริ่มของการตอบโต้ จากประเทศมหาอำนาจสหรัฐฯ ณ เพิร์ล ฮาร์เบอร์ และทั่วพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งส่งผลให้เกิดเหตุการณ์สำคัญ ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ตามมา - นั่นคือการทิ้งระเบิดเข้าใส่กรุงโตเกียว นำทีมโดย นาวาเอก จิมมี่ เอช. ดูลิทเทิล (อเล็กซ์ บอลด์วิน)
ภารกิจจู่โจมของดูลิทเทิล เกิดขึ้นจากการประชุมหารือกัน ของเหล่ากัปตันเรือดำน้ำ ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนให้กับข้าศึก หลังจากที่ นายพลเฮนรี่ อาร์โนลด์ เห็นชอบกับข้อเสนอแนะ เขาเลือก นาวาเอกจิมมี่ ดูลิทเทิล เป็นผู้บัญชาการในภารกิจครั้งนี้ ซึ่งเขาก็เลือกให้ราฟและแดนนี่เป็นหนึ่งในทีมหัวหน้านักบิน ที่ไปร่วมในภารกิจสำคัญครั้งนี้ด้วย
ในวันที่ 18 เมษายน 1942 นาวาเอก ดูลิทเทิล กับลูกทีมของเขา ขับเครื่องบินทะยานขึ้นจากดาดฟ้าเรือรบ USS Hornet ซึ่งจอดอยู่ห่างจากชายฝั่งญี่ปุ่น 670 ไมล์ เรือประมงญี่ปุ่น ที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเรือฮอร์เน็ทอยู่ห่าง ๆ ได้เห็นเครื่องบินรบบี 16 จำนวน 25 ลำ พุ่งทะยานขึ้นจากเรือ พร้อมด้วยเสียงโห่ร้องให้กำลังใจจากบรรดาลูกเรือลำนั้น
จากภารกิจครั้งนั้น นาวาเอกดูลิทเทิลได้รับการเลื่อนขั้น ให้เป็นนายพลจัตวา โดย ประธานาธิบดีรูสเวลท์ (จอน วอยต์) เป็นคนประดับเหรียญกล้าหาญให้ด้วยตัวเอง เขายังคงได้รับการกล่าวขวัญถึงจากคนรุ่นหลัง มาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่เขาเสียชีวิตลงในปี 1993 ขณะอายุ 96 ปี ในฐานะผู้ปฏิบัติภารกิจสำคัญที่ไม่น่าเป็นไปได้ ให้สำเร็จลุล่วงลงด้วยดี