ในกลางศตวรรษที่ 19 ในระหว่างยุคสุดท้ายของบรรดาโชกุน และเหล่านักรบซามูไรทั้งหลาย สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง ที่กำลังพัดผ่านไปทั่วทุกหนแห่งในประเทศญี่ปุ่นนั้น ก็เริ่มจะเป็นสัมผัสได้ แม้กระทั่งในแคว้นอุนาซากะ มณฑลเล็กๆ ที่มีการปกครองในระบอบศักดินา ที่อยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเล ตอนเหนือบนเกาะหลักของญี่ปุ่น
เพื่อนรักสองคน คือ มุเนโซะ คาตากิริ (มาซาโตชิ นางาเสะ) และ ซาเอมอน ชิมาดะ (ฮิเดทากะ โยชิโอกะ) ได้ไปส่ง ยาอิชิโร ฮาซามะ (ยูกิโยชิ โอซาวะ) ในการออกเดินทาง เพื่อไปรับตำแหน่งสำคัญ ในองค์กรของกลุ่มในเมืองเอโดะ หลังจากนั้น ทั้งสองก็ได้กลับไปยังบ้านของมุเนโซะ ซึ่งเป็นเพียงที่พักอาศัยเรียบๆ พอเหมาะพอสมกับซามูไร ที่มีรายได้ประจำน้อยนิด อยู่เพียงที่ข้าวสาร 30 โคคุเท่านั้น แต่มันก็เป็นสถานที่ ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ ที่เขาอยู่ร่วมกับมารดา, น้องสาวของเขา ชิโนะ (โทโมโกะ ทาบาตะ) และ คิเอะ (ทากาโกะ มัตซุ) สาวชาวนาแสนน่ารัก ผู้เป็นสาวรับใช้ในบ้าน พร้อมกันกับการเรียนรู้มารยาท และฝึกฝนวิชาการเรือน และเย็บปักถักร้อยที่เธอจำเป็นต้องมี ไว้เพื่อการแต่งงานในอนาคตข้างหน้า ที่จะนำพาชีวิตของเธอให้ดีขึ้นอีกด้วย
เวลาผ่านไปสามปี ระหว่างนั้น มารดาของมุเนโซะได้ตายลง พร้อมกับความกังวลในเรื่องที่บุตรชายของเธอ ยังคงไม่มีภรรยามาเป็นคู่ชีวิต ในขณะที่น้องสาวของเขา ได้ออกเรือนไปแล้วกับซาเอมอน ปล่อยให้มุเนโซะต้องอยู่ในบ้านของพวกเขาเพียงลำพัง กับหญิงรับใช้สูงอายุคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนคิเอะ ได้แต่งงานเข้าไปสู่ตระกูลอิเซยะ ครอบครัวผู้ขายส่งน้ำมัน โดยที่มุเนโซะเข้าใจว่าเธอจะมีชีวิตคู่ที่มีความสุข แต่เมื่อพบเธอโดยบังเอิญ ขณะเธอกำลังเดินซื้อของอยู่ในวันหนึ่งในฤดูหนาว เขาก็ได้สังเกตเห็นว่าเธอกลับผอมซูบลง และกลับดูโศกเศร้า และเขาก็กลับรู้สึกเจ็บแปลบในใจอย่างแปลกประหลาด เมื่อเห็นเธอเดินจากไปท่ามกลางหิมะที่พรั่งพรูนั้น
หลายเดือนผ่านไป ด้วยคำสั่งของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในเมืองเอโดะ มุเนโซะได้เป็นหนึ่งในซามูไร ที่จะได้เข้ารับการฝึกสอนวิธีการใช้ปืนใหญ่ อันนับเป็นวิทยาการล้ำสมัยในยุคนั้น เมื่อได้ทราบข่าวว่าคิเอะได้ล้มป่วยลง เขาและซาเอมอนก็รีบรุดเดินทางไปยังบ้านอิเซยะ หลังจากได้รับการต้อนรับอย่างไม่เต็มใจนัก จากมารดาของสามีของคิเอะ เขาก็ได้พบกับเธอในสภาพป่วยหนัก นอนซมอยู่ในห้องเก็บของ ที่มีเพียงแสงไฟริบหรี่เท่านั้น และหลังจากได้สั่งให้สามีของเธอ ไปจัดการเรื่องหย่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็อุ้มเธอกลับไปยังบ้านของเขา
อาการของเธอค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยน้องสาวของเธอได้เดินทางมาช่วยดูแลเธอด้วยอีกแรง และแล้วบ้านของมุเนโซะ ก็ได้กลับกลายมาเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะอีกครั้ง แต่แม้กระนั้นก็ตาม แผนการณ์ของกลุ่มซามูไรในเอโดะ ที่ต้องการจะล้มล้างหังหน้าของตนก็ได้ถูกเปิดโปง และด้วยความหวาดหวั่น ว่าความลับนี้จะล่วงรู้ไปถึงรัฐบาลของท่านโชกุน ทุกคนที่เกี่ยวข้องในการนี้ จึงได้รับคำสั่งให้ฆ่าตัวตายให้หมดสิ้นไปด้วยกัน ยาอิชิโรเอง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย เขาจึงถูกส่งตัวไปยังอาณาเขตของกลุ่ม และถูกจองจำอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ อยู่ลึกไปในหุบเขาในบริเวณนั้น
มุเนโซะและยาอิชิโร คือสองในนักเรียนที่ดีที่สุดที่ คันไซ โทดะ (มิน ทานากะ) เคยมี โดยเขาผู้นี้เคยเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาฟันดาบให้กับทางกลุ่มมาก่อน โดยจริงๆ แล้วยาอิชิโรคือผู้ที่มีฝีดาบเก่งกาจกว่า แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดที่โทดะถึงได้ตัดสินใจเลือกที่จะถ่ายทอดเทคนิคลับที่ชื่อ โอนิ โน ซุเมะ หรือกงเล็บปีศาจให้กับมุเนโซะ
หัวหน้าข้าหลวงประจำกลุ่ม โชเกน โฮริ (เคน โอกาตะ) เรียกตัวมุเนโซะให้มาเข้าพบ และแจ้งว่าเขาได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับยาอิชิโร และขอให้เขาเปิดเผยชื่อของบุคคลอื่นๆ ที่ฮาซามะสนิทสนมด้วย ให้ทางกลุ่มได้รับรู้ แต่มุเนโซะกลับตอบไปเพียงว่า ซามูไรมีหน้าที่ที่จะต้องรักษาความลับทั้งปวง และปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายชื่อของบุคคลเหล่านั้น การมาอาศัยอยู่ในบ้านของมุเนโซะของคิเอะนั้น แน่นอนว่า ย่อมจะทำให้เขาได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อย เขาจึงได้ตกลงใจที่จะส่งเธอ กลับไปยังบ้านของครอบครัวของเธอเมื่อเธอหายดีแล้ว แต่ในเวลานี้ เขาขอบอกเธอในความฝัน ที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาเป็นเวลานานก่อน นั่นก็คือการได้ร่วมเดินทางข้ามทะเลไปพร้อมกับเธอ และนั่นก็ได้ทำให้คิเอะล่วงรู้ถึงความในใจที่เขามีต่อเธอ และหัวใจของเธอก็เริ่มเต้นแรงขึ้น
ยาอิชิโรหลบหนีออกจากที่กุมตัว และไปหลบภัยอยู่ในบ้านชาวนาคนหนึ่ง โดยจับเจ้าของบ้านหลังนั้นไว้เป็นตัวประกัน โอกาตะ (เนนจิ โคบายาชิ) หัวหน้าผู้ตรวจการประจำกลุ่ม จึงได้ออกคำสั่ง ให้มุเนโซะไปสังหารยาอิชิโร
จุดจบของโลกแห่งซามูไรกำลังจะมาถึง แต่โลกนั้นกลับยังไม่พร้อม ที่จะปล่อยให้มุเนโซะได้เป็นอิสระ...