จะว่าไป "เพนกวินจักรพรรดิ" (หรือ The Emperor Penguins) นั้น แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสายพันธุ์เพนกวินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่แท้ที่จริงแล้ว พวกมันกลับเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องสาป เนื่องจากการสืบทอดเผ่าพันธุ์ของพวกมันเต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยงและลำบากแสนเข็ญ
ในทุกฤดูหนาวของทุกปี เพนกวินจักรพรรดิต้องละทิ้งทะเลซึ่งอุดมไปด้วยอาหาร แล้วจับกลุ่มเดินกระย่องกระแย่งเป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร สู่สถานที่เวิ้งว้างว่างเปล่าหนาวเหน็บแห่งหนึ่ง เพียงเพราะว่าที่นั่น มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การสืบพันธุ์ของพวกมัน
นอกจากนั้นเพนกวินจักรพรรดิยังมีธรรมชาติที่แสนแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ หลังจากที่ตัวเมียออกไข่แล้ว ก็จะส่งมอบไข่ให้ตัวผู้รับหน้าที่ฟูมฟักเลี้ยงดู ในขณะที่ตัวเมียจะเดินทางกลับทะเล เพื่อหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเอง และนำกลับมาให้ทารกน้อย ซึ่งกำลังจะฟักตัวในอีกไม่ช้า
การส่งมอบไข่ของเพนกวินจักรพรรดิถือเป็นขั้นตอนที่อันตรายยิ่ง เนื่องจากไข่จะต้องได้รับความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา หากพ่อแม่เพนกวินคู่ใดสะเพร่า กะจังหวะรับส่งไม่ดี ปล่อยให้ไข่ตากลมนานเกินไป ไข่ใบนั้นก็จะถูกความหนาวทำให้แตกสลาย ซึ่งนั่นหมายถึงว่า ลูกน้อยของพวกมันจะต้องตายตั้งแต่ยังไม่เป็นตัวเสียด้วยซ้ำ
หลังการส่งมอบไข่เสร็จสิ้น แม่และพ่อเพนกวินต่างต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน - แม่เพนกวินจะตะลุยฝ่าหิมะเพื่อมุ่งหน้าสู่ทะเล ส่วนพ่อเพนกวินก็ต้องอยู่นิ่ง ๆ อย่างอดทนโดยไม่มีอาหาร ท่ามกลางพายุหิมะอันแสนโหดร้ายทารุณ เพื่อประคบประหงมไข่ใบเขื่องไว้ภายในอุ้งเท้าทั้งสองข้าง
ราว 60 วันหลังจากนั้น ขณะที่พ่อเพนกวินอ่อนล้าและหิวโหยจนถึงขีดสุด ไข่ก็จะฟักตัว และลูกเพนกวินที่เกิดใหม่ จะมีอายุอยู่ได้โดยปราศจากอาหาร เป็นเวลาเพียง 48 ชั่วโมง ซึ่งนั่นหมายความว่า หากแม่เพนกวินของมัน ไม่สามารถนำอาหารกลับจากทะเลได้ทันเวลา อายุขัยของลูกเพนกวินก็จะสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น
แม่เพนกวินตัวใดที่ทำหน้าที่ได้สำเร็จทันเวลา จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับสามีและลูกอีกครั้ง ส่วนแม่เพนกวินที่กลับมาไม่ทัน จะพบเพียงร่างไร้ชีวิตของลูกน้อย พวกมันจะพากันกลับคืนสู่ทะเลอย่างเศร้าสร้อย แล้วตั้งความหวังว่า เมื่อถึงช่วงเวลานี้ของปีหน้า
มันจะไม่ทำพลาดอีก