เรียกว่าไม่ได้มีดีแค่หน้าตาเท่านั้น สำหรับนางเอกสาว คิม - คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส เทียมศิริ ที่วันนี้เธอได้พิสูจน์ถึงฝีมือการแสดงให้หลายคนได้เห็นแล้วว่ามีของดีไม่แพ้ใคร เพราะหลังจบจาก "นางร้ายที่รัก" ไปหมาด ๆ เธอก็เร่งถ่าย "เพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ" ต่อทันที วันนี้ "ดาวต่างมุม" จึงได้ไม่รอช้า นัดเธอมานั่งจับเข่าคุยแบบเจาะลึกถึงทั้งการทำงาน รวมถึงเรื่องราวความรักกับหนุ่ม หมาก - ปริญ สุภารัตน์ ผู้ชายที่คิมอยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อดูแลกันและกันตลอดไปด้วย
ที่มา: ดาวต่างมุม เดลินิวส์ / ภาพ: @kimmy_kimberley (IG)
ที่ผ่านมาได้รับแต่บทที่โตเกินอายุตลอด เตรียมการแสดงยังไงให้คนดูเชื่อ?
จริง ๆ คิมว่ามันก็อยู่ที่บทด้วยว่าเขาเขียนมายังไง แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้กำกับเขาจะแนะนำเรายังไง อย่างตอนนี้บทที่โตที่สุดสำหรับคิม คือ "อนุศนิยา" ในละคร "เพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ" ที่กำลังถ่ายอยู่ อันนี้ต้องบอกว่าเครียดมาก เพราะเราต้องเล่นเป็นผู้บริหาร ทุกคนต้องเกรงกลัวเรา ถ้าสังเกตดี ๆ ส่วนมากเราจะเล่นเป็นบทแบบสู้คน ไม่เคยเล่นบทโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียว คิมรู้สึกว่าเราก็ต้องพยายามเปลี่ยนคาแรกเตอร์ไม่ให้ซ้ำกับบทที่เราเคยเล่นมา คือถ้าให้คิมเล่นร้ายแบบสุด ๆ หรือดราม่าโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียวไปเลย คิมก็เล่นได้นะ เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกันว่าเราจะเล่นได้แค่ไหน
ช่วงปีที่ผ่านมาคนมองว่าฝีมือการแสดงของคิมพัฒนาแบบก้าวกระโดด?
มันเป็นความโชคดีของเราด้วยค่ะ ตั้งแต่มีโอกาสได้เล่น "4 หัวใจแห่งขุนเขา" คิมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ละครแต่ละเรื่องเราก็พยายามเล่นให้มันไม่เหมือนเดิม เพื่อที่เปลี่ยนคาแรกเตอร์ของตัวเองให้ตรงกับตัวละครนั้น ๆ พยายามทำการบ้าน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แต่คิมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งเลยสักวันนึง ทุกงานเราต้องพยายามทำออกมาให้ดีทุกครั้ง ก่อนจะเล่นละครก็จะมีการไปเรียนการแสดงเพิ่มทุกครั้ง นอกจากนี้ก็ดูหนังที่มันใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์นั้น ๆ แล้วก็นำมาปรับใช้ คิมว่ามันช่วยได้มาก จุดที่ต้องปรับปรุงของเรา คิมก็เห็นนะคะ แต่คิมมองว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ เมื่อก่อนเราประสบการณ์น้อย แต่ตอนนี้เรามีประสบการณ์มากขึ้น ก็ค่อย ๆ เก็บเกี่ยวไป มันต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ แต่มันก็จะยากขึ้นตรงที่เราต้องพยายามทำยังไงก็ได้ให้คาแรกเตอร์ไม่ซ้ำและทำออกมาให้ดีขึ้นในทุก ๆ เรื่อง
ตั้งแต่เข้าวงการ เรามองว่าวงการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน?
วงการนี้สอนอะไรคิมเยอะ โชคดีที่ได้เจอกับนักแสดงมากความสามารถอย่างพี่แอน ทองประสม เขาก็จะสอนอะไรเราได้เยอะมาก พี่แอนไม่เคยหวงวิชา ในมุมกลับกันถามว่าคิมเปลี่ยนไปมั้ย สำหรับคิมเหมือนเดิมนะคะ ตั้งแต่เราเข้ามาเราก็เป็นของเราแบบนี้มาโดยตลอด แต่ยอมรับว่าชีวิตก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวก็จะไม่ค่อยเป็นเรื่องส่วนตัวเท่าไหร่ จะมีคนจับจ้องตลอด ตอนนี้คิมเข้าวงการมาประมาณ 6 ปีแล้วค่ะ ก็ยังคงเป็นนักแสดงต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ ถามว่าบทนางเอกจำเป็นสำหรับคิมรึเปล่า คือสักวันมันก็คงต้องเปลี่ยน เราอยากเป็นนักแสดง เพราะฉะนั้นเราควรจะทำได้หลายอย่าง ถ้าวันนึงเราโตขึ้นแล้วเล่นบทนางเอกมามากพอแล้ว ก็อยากจะเปลี่ยนลองเล่นเป็นตัวเด่นที่ร้ายดูบ้าง
เคยเหลิงไปกับชื่อเสียงเงินทองมั้ย?
คิมว่าเราจะไม่ค่อยรู้ตัวเองหรอก แต่สำหรับคิมก็รู้สึกว่าไม่ได้เหลิง เพราะคิมไม่ค่อยไปไหน ถ้าวันหยุดก็อยู่บ้าน จัดดอกไม้ อยู่กับตัวเองค่ะ
แล้วการเรียนของ "คิม" ใกล้ถึงฝั่งฝันบ้างรึยัง วางแผนการเรียนยังไง?
ตอนนี้ก็ปี 3 แล้วค่ะ คิมเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ วิทยาลัยซุปเปอร์สตาร์ คอลเลจ ออฟ เอเชีย มหาวิทยาลัยสยาม คิดว่าอีกประมาณปีกว่า ๆ ก็น่าจะจบแล้ว พอดีคิมเข้าเรียนช้าและทำงานหนักมาก แต่ปีหน้าคิมจะพยายามรับละครแค่เรื่องเดียว จะได้มีเวลาทุ่มเทให้กับการเรียน ส่วนเรื่องเรียนต่อปริญญาโท จริง ๆ คิมอยากเรียนต่อนะคะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นนักแสดงได้อีกนานแค่ไหน คิมว่าการเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญ
ถามถึงการได้เป็นคู่จิ้นกับหมาก - ปริญ มันทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปยังไง?
ไม่เปลี่ยนนะคะ เพียงแต่เวลาที่เราโพสต์รูปทุกคนก็จะแบบว่าเมื่อไหร่จะลงรูปคู่กับพี่หมากบ้าง แล้วก็จะมีแบบฝากบอกพี่หมากด้วย ชอบมาก ๆ เลยนะ (หัวเราะ) ส่วนพี่หมากเองคิมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเปลี่ยนไป เขาเป็นยังไงก็เป็นแบบนั้น เสมอต้นเสมอปลาย ถ้าเปลี่ยนไปคิมว่าน่าจะเป็นเรื่องของความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ที่ผ่านมาเจอมรสุมข่าวเยอะมาก รับมือยังไง?
ใช่ค่ะ แต่เรารู้ดีว่าความจริงมันเป็นยังไง เรียกว่าต้องทำใจมากกว่า ถ้าต้องอยู่ในวงการนี้ เพราะมันมีหลายความคิดเห็น คนนี้มโนไปอีกเรื่องนึง เราก็งงเลยว่าฉันเป็นแบบนั้นเหรอ คือเรายังไม่รู้ตัวเลยว่าเราทำไปทำอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องปล่อยวาง ข่าวอะไรที่มันไม่ค่อยดีเราก็ไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจเท่าไหร่ อะไรที่มันไม่จริงเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ซึ่งข่าวมันก็ย่อมมาคู่กับนักแสดงอยู่แล้ว ไม่ใช่มีแค่เราคนเดียวที่โดน คนอื่นเขาก็โดนเหมือนกัน อาจจะหนักกว่าเราด้วยซ้ำ
คิมก็เคยโดนโยงให้ไปอยู่ในเหตุการณ์ความขัดแย้ง เราผ่านมันมาได้ยังไง?
เราก็ต้องระวังไม่ให้ทำอะไรกระทบจิตใจของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งมันก็ยากเหมือนกัน คิมว่าเราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ โดยเราเองก็ต้องมีความสุขด้วย แล้วอะไรที่ผ่านมาก็ให้มันเป็นบทเรียนไป เพราะจะให้เรากลับไปแก้ไขก็ไม่ได้
อะไรทำให้เราเลือกที่จะอยู่เคียงข้าง "หมาก"?
ด้วยความที่เราเป็นพี่น้องกันมาตั้งนานแล้ว และเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ยิ่งมาโดนโยงข่าวที่เกิดขึ้น พี่หมากเขาก็เครียด เพราะฉะนั้นเราต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แต่อย่างที่บอกเราไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย แค่รู้ตัวเอง คิมว่ามันดีที่สุดแล้ว คิมว่าเวลามันจะพิสูจน์เองว่าอะไรเป็นอะไร
หลายคนอยากรู้ว่าจุดเริ่มต้นความรักของ "คิมและหมาก" เริ่มจากตรงไหน?
เรารู้จักกันมาตั้งแต่เล่น "4 หัวใจแห่งขุนเขา" แต่มาเริ่มสนิทกันจริง ๆ น่าจะเป็นตอนเล่น "ปัญญาชนก้นครัว" แล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นทีละนิด ๆ จนกลายเป็นความผูกพัน แล้วช่วงนั้นเราไม่ได้มีใคร เขาไม่มีใคร แล้วเขาก็คอยถามไถ่อยู่ตลอดเวลาว่าเป็นยังไงบ้าง บวกกับข่าวที่เราโดนโยงไปเกี่ยวข้องด้วยตลอด เพราะข่าวที่เข้ามาเขาก็ค่อนข้างเครียดมาก ตัวเราเองถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้อง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เรารู้สึกว่าต้องให้กำลังใจกันและกัน ทำให้รู้สึกว่าเราผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะ มีความเข้าอกเข้าใจกัน แล้วค่อย ๆ ผูกพันกันมาเรื่อย เท่าที่คิมสัมผัสได้เขาไม่เคยทิ้งเราไปไหน ทำอะไรก็นึกถึงเราตลอด สำหรับคิมรู้สึกว่าโดยพื้นฐานพี่หมากเขาก็เป็นคนดี เวลาที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุข ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นคนโรแมนติก แต่เขาก็คอยอยู่ข้าง ๆ เวลาที่เราเสียใจ อย่างช่วงที่เรามีข่าวเครียด ๆ เขาก็มาให้กำลังใจ เขาค่อนข้างชัดเจนในแบบของเขา เวลาที่ออกมาพูดถึงเราเขาก็ให้เกียรติเสมอค่ะ
กว่าจะพิสูจน์ให้คนเห็นถึงความรักความจริงใจที่มีให้กันมันยากเย็นมั้ย?
ก็ไม่ได้ยากนะคะ ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ปกปิด เราเป็นของเราแบบนี้ ไม่ได้ต้องการให้ใครมายอมรับในความสัมพันธ์ของเรา เราสองคนเริ่มจากการเป็นเพื่อน แล้วก็เกิดเป็นความผูกพันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนวันนี้เรา 2 คนต่างก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้กันและกัน คิมว่าทุกคนก็เห็นมาโดยตลอด
คู่เราโดนคนจับตามองตลอด เกิดอะไรนิดหน่อยก็เป็นที่สนใจ?
คิมว่าไม่ใช่แค่เราสองคนหรอก เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็เป็นข่าวง่ายมาก แค่หยิบโทรศัพท์มาเขียนอะไรลงก็ได้ เราก็โดนด่าแล้ว ทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้จักกับคนนั้น แต่แฟนคลับก็เป็นกำลังใจที่สำคัญและยิ่งใหญ่มากสำหรับเรา แฟนคลับค่อนข้างเชื่อใจเรา รู้ว่าอะไรจริงไม่จริง อีกอย่างคนในครอบครัวก็อยู่เคียงข้างเราด้วย แต่เราก็จะแค่เซ็งนิดหน่อยว่าทำไมคนคิดได้ขนาดนี้ ยกตัวอย่างล่าสุดที่บอกว่าคู่เราสร้างเรื่องโกหก เอา จริง ๆ คิมไม่ชอบคำนี้เลย คู่เราชัดเจนอยู่แล้ว ถามอะไรมาก็ตอบหมด ซึ่งเรารู้สึกว่าทำไมเขียนได้ขนาดนั้นนะ บอกว่าพี่หมากมีข่าวติดยา แล้วเราต้องสร้างภาพว่ารักกันเหมือนเดิม เอาจริง ๆ เรายังไม่รู้ตัวเลยว่าเราเป็นอย่างนั้นรึเปล่า คือคนเขียนรู้ดีกว่าเราอีก คิมว่าความสัมพันธ์ของเรามันชัดเจนของมันมาตลอดอยู่แล้ว ความรู้สึกดี ๆ ที่เราเลือกลงไอจี มันออกมาจากความรู้สึกอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะสร้างภาพแน่นอนค่ะ
ล่าสุดมีข่าวมือที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง?
ต้องบอกว่ามันเป็นข่าวที่ไม่จริงทั้งนั้นเลย เพราะเราไม่ได้มีเรื่องทะเลาะหรืองอนกันเลย อย่างเรื่องมือที่ 3 ถ้าสมมุติเขาจะไปเจอใครมันก็เป็นสิทธิของเขา แต่ยังไงเราก็ต้องรับรู้อยู่แล้ว เพราะมีคนเป็นหูเป็นตาให้มากมาย (หัวเราะ) ก็คงไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเราก็ถามตรง ๆ เขาก็บอกไม่จริง เราก็งง เพราะคิมและพี่หมากก็ไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนั้นด้วย สำหรับคิมคิดว่าถ้าเรามีความจริงใจต่อกัน ความสัมพันธ์คงไม่มีปัญหา มีอะไรเขาก็บอกเราตรง ๆ ณ ตอนนี้คิมว่าสำหรับเราไม่มีความหวาดระแวงอะไรกันนะคะ เราต่างคนต่างเชื่อใจซึ่งกันและกัน
เวลาอยู่ด้วยกันหมากสวีทเหมือนภาพที่เห็นในไอจีรึเปล่า?
เขาไม่ได้เป็นคนโรแมนติกเลย เขาเป็นคนชิลชิล คิมเองมากกว่าที่จะมีกระจุ๊กกระจิ๊กน่ารัก ๆ แต่เวลาอยู่ด้วยกันเขาเป็นเหมือนเพื่อนคนนึงที่เราคุยกันได้ทุกเรื่อง เขาเป็นที่ปรึกษาที่ดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด เขาจะชอบทำให้เราสนุกสนาน อยู่ด้วยแล้วไม่ต้องคิดมาก เพราะเขาก็เป็นคนไม่ค่อยคิดอะไร เขาไม่เคยเครียดให้เราเห็น ตรงกันข้ามเวลาที่เราเครียดมาก ๆ เขาจะพยายามทำให้เราตัดความเครียดนั้นออกไปให้เร็วที่สุด มันเลยสบายใจ ทำให้เราไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะกันสักเท่าไหร่ คิมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ๆ เขา (ยิ้มเขิน) คือคิมว่าเราค่อย ๆ รู้สึกดีต่อกันเพื่มขึ้นเรื่อย ๆ คิมก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มตอนไหน แต่คือทำงานกับเขาแล้วสบายใจ เข้าขาได้ดี นิสัยหลายอย่างเราคล้ายกันด้วย ไลฟ์สไตล์ตรงกันหลายอย่าง เช่น ชอบอยู่กับธรรมชาติ ไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวายเหมือนกัน
ทุกวันนี้ยังมีอะไรที่อยากให้เขาปรับปรุงไหม?
พี่หมากชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะพี่หมากเขาเป็นคนใจร้อนมาก ๆ เราก็พยายามเตือนเขาตลอด แต่ตอนนี้เขาก็ดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่างคือคิมอยากให้เขาดูแลสุขภาพตัวเองด้วยเพราะช่วงนี้เขาก็ทำงานหนัก ณ วันนี้เขาก็เป็นคนที่สนิทที่สุดของเรา คิมว่าให้ความสัมพันธ์มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปแบบนี้ดีกว่า มันเป็นความผูกพันซึ่งมันไม่จำเป็นต้องใช้คำแฟนก็ได้ค่ะ
"หมาก" มีอิทธิพลกับชีวิตเราขนาดไหน?
ทุกวันนี้เขาก็มีอิทธิพลต่อชีวิตเราเยอะเหมือนกัน ถือเป็นคู่จิ้นเต็มตัวแล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะถูกโยงกันไปหมดเลย อย่างเรื่องงานก็ยังมีที่ต้องรับผิดชอบด้วยกัน เพราะฉะนั้นก็เลยถ้ามีคิมก็ต้องมีพี่หมาก นอกเหนือจากเรื่องงานเขาเป็นคนดีคนนึงที่เราขาดกำลังใจแบบนี้ไปไม่ได้เหมือนกัน (ยิ้ม)
"หมาก" เป็นผู้ชายที่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยรึเปล่า?
คิมว่ามันยังต้องดูอีกนานเลยถึงจะพูดประโยคนี้ได้ ไม่ใช่แค่ปีสองปีแล้วจะสามารถบอกได้ ถ้านับจริง ๆ เราก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันประมาณ 2 ปีเอง ก็ยังอยากใช้คำว่าเพื่อนก่อน สมมุติวันนึงมันไม่ใช่ เราไม่อยากให้ความรู้สึกดี ๆ มันหายไป ไว้เดี๋ยวตอนแต่งงานแล้วค่อยถามแล้วกัน ถ้ามีวันนั้นนะ (หัวเราะ) คิมว่ามันไม่ใช่คำถามที่จะตอบได้เลยในตอนนี้ ก็เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตของกันและกันไปก่อน ถ้าวันนึงมันเต็มเมื่อไหร่แล้วเดี๋ยวบอกค่ะ ส่วนเรื่องอนาคตเรายังไม่เคยคุยกันเลย ก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก่อนดีกว่า อีกอย่างหนูก็อายุแค่ 24 ส่วนพี่หมากก็เพิ่ง 25 เอง ก่อนหน้านี้คิมเคยมองว่าอยากใช้ชีวิตครอบครัวตอนประมาณ 27-28 เพราะอยากเล่นเป็นเพื่อนกับลูกได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ชายด้วยว่าเขาจะขอเรารึเปล่า (หัวเราะเขิน) เราอาจตั้งเป้าไว้ที่ 30 แต่ถ้าเขายังไม่ขอ จะให้เราไปขอเขาก็ตลกดีเนอะ ส่วนจะให้คอนเฟิร์มว่าพี่หมากคือคนที่อยากจะฝากชีวิตให้ดูแล ก็ขอเวลาอีกสักแป๊บนึงแล้วกันค่ะ แต่เราอยากจะมีเขาอยู่ในชีวิตของเราตลอดไปอยู่แล้ว ส่วนจะในฐานะอะไรต้องอยู่ที่โชคชะตาด้วย แต่ก็อยากให้เขาอยู่ในชีวิตเราตลอดจนลมหายใจสุดท้ายนะคะ