เข้าวงการเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก มาจนถึงวันนี้ ขนมจีน-กุลมาศ ลิมปวุฒิรานนท์ เติบโตขึ้นเป็นสาวเต็มตัว โอกาสในงานบันเทิงก็มีเข้ามามากขึ้น โดยเริ่มชิมลางงานแสดงในละคร "สาปสาง" และ "ชิงรักหักสวาท" ทางช่อง 8 วันนี้โอกาสเหมาะ ขนมจีนมาเยือนถึงถิ่น ให้ "ดาวต่างมุม" ได้เปิดใจถึงการทำงานบนเส้นทางบันเทิงของเธอ รวมถึงเรื่องหัวใจที่กำลังปลูกต้นรักอยู่กับไฮโซหนุ่ม เคน สารสาร์ส ที่เธอกล้าบอกเต็มปากว่านี่คือ รักแรกของเธอ
ที่มา : ดาวต่างมุม เดลินิวส์
ชีวิตการทำงานช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
"ค่อนข้างดีค่ะ มันมีอะไรที่หลากหลายมากขึ้น ตอนนี้ก็มีมาถ่ายละคร ทำให้ชีวิตเราสนุกขึ้น มีอะไรที่แปลกใหม่ โดยส่วนตัวก็ชอบมาก มันใหม่กับเรามาก และมันทำให้เราอยากค้นคว้า ได้ลองอะไรใหม่ ๆ และการที่เรามาเล่นเป็นตัวละครตัวหนึ่ง แล้วต้องคอยศึกษาว่าเขาเป็นยังไง เป็นใครก็สนุกดี ได้ทำอะไรที่มันแตกต่างขึ้น ก็ต้องมีเรียนแอ๊คติ้ง ซึ่งปกติก็เรียนอยู่แล้วก่อนที่จะได้โอกาสมาทำงานตรงนี้ ก็เรียนมาเรื่อย ๆ พอมีโอกาสได้ใช้มันก็สนุก พี่ ๆ ที่ทำงานร่วมกันก็จะคอยแนะนำ เราเองก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นด้วย ก็พยายามทำให้ดีที่สุด เล่นละครแรก ๆ ก็เกร็งมาก เครียดเลย อย่างเรื่อง “สาปสาง” นี่ถ่ายเรื่องแรกยากมาก ก็ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสเรา ถึงแม้ที่เราจะพยายามเรียนมากแค่ไหน ทำดีแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ มันก็ยากที่เราจะได้แสดงความสามารถ สำหรับตัวขนมจีนเองมองว่า ถึงแม้เราจะได้รับแล้ว เราก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ เพราะก็มีคลื่นลูกใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ เราก็ต้องทำการบ้านกับตัวเราให้ดีในทุกทางทั้งการเรียนแอ๊คติ้ง เรียนร้องเพลง เรียนเต้น เราก็ต้องทำอยู่เสมอ"
เข้าวงการมาตั้งนานแต่ดูเหมือนชื่อเสียงนิ่ง ๆ?
"ใช่ มันเหมือนค่อยเป็นค่อยไป เราไม่ได้โชคดีเหมือนใครที่เข้ามาแล้วตู้มเดียว กวาดทุกอย่างหมด มันก็อาจจะต้องใช้เวลา เรามองว่าในแง่ที่ว่าเราอยู่ตรงนี้ เราได้ทำงาน แล้วเรามีความสุข และยังได้รับโอกาส เรื่อย ๆ คือไม่ได้แบบว่าไม่มีงานเลย แต่เราก็ยังได้รับโอกาสที่ทำงานในสิ่งที่เรารักอยู่ ขนมจีนก็มองว่ามันก็เป็นอะไรที่ดีมากแล้ว ก็พยายามทำผลงานของตัวเองให้ดี ถ้ามันถึงจังหวะถึงเวลาที่มันใช่ มันก็อาจจะเป็นวันของเรา ทุกวันนี้มันก็มีความสุขนะ ตื่นมาได้ไปกองถ่าย ไปอัดเพลง แต่ถ้าเราเป็นที่รู้จักมากกว่านี้ ผลงานที่จะเข้ามา ความหลากหลายมันก็จะมากขึ้น ทุกคนก็ต้องอยากมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ยิ่งคนที่รักงานนี้ ก็ยิ่งต้องอยากที่จะทำตรงนี้ ถ้ามันถึงโอกาสสักวันก็คงเป็นของเรา ขนมจีนไม่ค่อยรู้สึกท้อ คือเข้าใจในสายงานมากกว่า ว่าทิศทางมันเป็นยังไง เหตุผลทางธุรกิจ ช่วงนี้กระแสเพลงเป็นยังไง คือเราค่อนข้างทำความเข้าใจกับธุรกิจในวงการบันเทิง ก็เลยไม่ค่อยซีเรียสกับตรงนี้ เราก็ยังโชคดีที่เราได้ออกอัลบั้มทุกปี ได้ออกซิงเกิ้ลแทบจะ 3 เดือนครั้ง ถ้าเทียบกับหลาย ๆ คนที่เขาไม่ได้รับโอกาสแบบเรา เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเรามัวแต่ไปคิดว่า ทำไมเราไม่ได้อย่างคนนั้นคนนี้ เราก็จะไม่มีความสุข เราก็ต้องดีใจกับเขาด้วยซํ้า เขาอาจจะเหมาะกับตรงนี้จริง ๆ ถ้าเรามัวแต่คิดเล็กคิดน้อย เราก็จะละเลยในการพัฒนาผลงานตัวเอง ก็คาดหวังให้ดีวันดีคืนแล้วกัน ไม่ได้เอาความคาดหวัง มาเป็นความกดดันตัวเอง ก็ทำทุกอย่างด้วยความสุข สบายใจ เรามีความสุขเราก็ทำ"
เคยคิดอยากจะลองเปลี่ยนลุค หรือเปลี่ยนแนวเพลงบ้างไหม?
"ให้โตขึ้น ให้เซ็กซี่ขึ้นน่ะเหรอ แต่เพลงของขนมจีนส่วนใหญ่เป็นเพลงฟัง เหมือนแทนใจเขา ถ้าสำหรับอัลบั้มใหม่ก็คงเป็นตัวแทนผู้หญิงที่พูดเรื่องราวที่ตรงใจเขา แต่ขนมจีนก็มีโอกาสให้ความคิดเห็นค่อนข้างเยอะนะ เพราะเราก็โตขึ้น ได้รับความไว้วางใจมากขึ้น เราก็หยิบเรื่องที่ใช่ มาลองทำ หรือมีคอนเซปต์แปลก ๆ มาลองทำ หรือว่าความชัดเจนของลุคก็จะชัดเจนกว่าอัลบั้มก่อน ๆ ที่ยังดูกึ่ง ๆ ว่าจะสาวหรือยัง จะโตหรือยัง เพราะเราเป็นนักร้องเด็กมาตั้งแต่แรก แล้วพอโตมาคนก็ยังติดภาพเด็กอยู่ แต่คงไม่ถึงขนาดเซ็กซี่ โป๊ไปเลย มันก็ไม่ใช่ตัวเราอีก ก็คงความเป็นตัวเองไว้ แค่เอาเรื่องแฟชั่นมาเป็นสีสันนิด ๆ หน่อย ๆ"
ทุกวันนี้เหมือนแข่งกับตัวเอง?
"ใช่ ไม่ได้แข่งกับใคร เพราะว่ามันเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนก็มีสไตล์ของตัวเอง ทางที่ไปมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว นักร้องในค่ายเอง ตำแหน่งแต่ละคนที่เขาวางไว้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว และถ้าเราจะไปเทียบกับดาราคนอื่นมันก็ไม่ใช่ คือเราจะพัฒนาตัวเองให้ได้ดี เราก็ต้องแข่งกับตัวเอง เอาชนะตัวเองให้ได้ ส่วนใหญ่ขนมจีนก็จะมีเส้นของตัวเองไว้ว่าให้ดีให้ผ่านได้เท่านี้ ถ้ามันไม่ได้ ก็คราวหน้าเอาใหม่ พัฒนาให้ดีขึ้น"
มีคติในการทำงานไหม?
"ไม่ค่อยมีนะ แต่ถ้าคิดเหมือนคนอื่นแบบว่า “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” ก็คงจะเป็นอันนี้มั้ง เพราะว่าท้ายที่สุด ผลของการกระทำของเราในวันนี้ก็จะส่งผลถึงอนาคตของเรา ถ้าเราเลือกที่จะทำอะไรไม่ดีกับตัวเอง วันนี้ไม่เกิด วันหน้าก็เกิดผลอยู่แล้ว ก็คิดว่า ปัจจุบันสำคัญที่สุด"
ครอบครัวมีส่วนผลักดันยังไงบ้าง?
"ค่อนข้างเยอะมาก คุณแม่ปลูกฝังให้ขนมจีนเป็นเด็กที่เข้มแข็ง เพราะคุณแม่เป็นผู้หญิงทำงาน ปะป๊าเสียตั้งแต่ขนมจีนอายุ 2 ขวบ น้องสาว 1 เดือน แม่ก็ทำงานมาตลอด ในขณะที่เราเป็นเด็ก เราเห็นเขาทำงาน เราก็อยากทำให้ได้เหมือนเขา ทุก ๆ วันเราก็ไปจะคิดว่าเราต้องเป็นมือขวาแม่ให้ได้ ท้ายที่สุดตอนนี้จะเรียกว่าเราเป็นผู้นำครอบครัวก็ได้ พอขนมจีนเข้าจุฬาฯได้ ก็ให้คุณแม่ออกจากงาน มาดูแลเรา ขนมจีนก็เป็นคนจัดการทุกอย่าง ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งน้องสาวเรียนอินเดีย เรียนอินเตอร์ในเมืองไทย ซึ่งเราก็มองว่ามันเป็นอนาคตของเขา เราก็มีความสุข ไม่ได้มองว่า การดูแลทุกคนในบ้านมันเป็นภาระ มันเป็นแรงขับเคลื่อนให้เราหยุดทำงานไม่ได้ เราต้องทำตัวเองให้ดีต่อไป เพื่อที่เราจะได้รับโอกาสทำงานต่อไป"
เหนื่อยไหมต้องเป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัว?
"ไม่เหนื่อยเลยนะ รู้สึกภูมิใจด้วยซํ้า บางคนกว่าเขาจะเรียนจบ เขาเพิ่งสตาร์ตในการทำงานเอง ซึ่งเราโชคดีที่เราได้รับโอกาสเริ่มต้นดีกว่าคนอื่น ไม่มองว่าเป็นภาระเลย ภูมิใจทุกครั้ง ไม่ได้รู้สึกว่าหนักเลย เพราะมันเป็นงานที่เรารู้สึกว่า เรามีความสุขทุกวันที่ได้ออกมาทำ อย่างเวลาคนโทรฯ มาติดต่อเรื่องงาน ไม่เคยมีความคิดที่จะไม่ทำ แบบว่าเหนื่อยแล้วไม่เอาแล้ว ไม่มีเลย รับก่อน รู้สึกว่ามันเป็นโอกาส วันนี้เป็นของเรา ถ้าเราพลาดไป วันหน้าอาจจะไม่ใช่ของเราก็ได้ ทุกโอกาสมันมีความหมาย มันอาจจะต่อยอดไปถึงอะไรที่เราไม่รู้ก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่เคยคิดจะปล่อยโอกาสไป เราก็มองว่าเราสามารถทำได้อยู่ พักหลัง ๆ ก็ดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะเราทำงานหนักตั้งแต่เด็ก จำได้เลยสมัยมัธยมมันมาก ไปเรียนตอนเช้า เข้าเรียน 07.30 น. เรียนเสร็จก็ไปขึ้นเครื่อง เล่นคอนเสิร์ตต่างจังหวัดตอนกลางคืน แล้วกลับไฟลต์เช้าสุด เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สนามบินแล้วก็ไปเรียนต่อ ทุกคนก็ถามว่าไม่เหนื่อยเหรอ คือชีวิตเราได้แอดเวนเจอร์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนได้หยุดได้พัก จะเครียด ทำไมวันนี้เบื่อจัง ต้องไปหากิจกรรมทำ"
เรื่องเรียนไปถึงไหนแล้ว?
"ปีนี้ก็ปี 4 แล้ว ที่จุฬา คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาดุริยางค์ศิลป์ตะวันตก คุณแม่สอนให้วางแผนชีวิตในทุก ๆ อย่าง เลยคิดว่าถ้าจบตรีก็คงต่อโทเลย ตอนแรกอยากไปเรียนเมืองนอก เพราะสามารถยื่นทุนที่เบิร์กเลย์ได้ แต่เราไม่อยากหายไปจากวงการ ก็ไม่รู้โอกาสเราจะหลุดไปตอนไหน กลับมามันอาจจะไม่ใช่แล้ว ก็เลยคิดจะต่อโทที่จุฬาฯ เหมือนเดิม เดี๋ยวช่วงที่หยุดยาว เพื่อเปลี่ยนเป็นอาเซียน คงเตรียมตัวเรื่องสอบให้เรียบร้อย เพื่อจบตรีแล้วจะได้ต่อโทเลย ต้องเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ เพราะทุกอย่างของขนมจีนวางแผนหมดเลย ขนมจีนไม่ใช่คนเรียนซีเรียส เรียน ๆ เล่น ๆ รักษาระดับให้มันดีถึงเกณฑ์ที่เราตั้งใจก็พอ คือขนมจีนมองว่าถ้าเราชอบอะไรและเรามุ่งไปทางนั้น ถ้าเราอยู่กับมันทุกวัน มันไม่มีทางจะหลุดรอดมือเราไปได้ ไอดอลเรื่องการเรียนของขนมจีน มีคนเดียวเลย คือ พี่นาวิน ต้าร์ ตอนเด็ก ๆ ขนมจีนได้ยินเรื่องที่พี่เขาเกเรมากเลย แต่พอมาสอบเขาตั้งใจ เขาก็ทำได้ หนูก็มองพี่เขาเป็นไอดอลเลย มันฝังอยู่ในสมองโดยไม่รู้ตัว พอถึงเวลาที่เราต้องทำเราก็มุ่งมั่นเต็มที่จริง ๆ อยากให้น้อง ๆ หลายคนมองว่า การเรียนมันอาจจะยากสำหรับเรา แต่ถ้าเรารู้ว่าเราชอบอะไร ก็มุ่งไปทางนั้น วิชาเรียนมันมีตั้งเยอะแยะ ไม่ใช่คิดว่าเราเรียนไม่เก่ง ชีวิตนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว"
เรื่องงานดูดีมาก แล้วความรักล่ะ?
"ทุกวันนี้ที่กล้าเปิดเรื่องความรักมากขึ้น เพราะโตขึ้นด้วย แต่เรื่องพวกนี้มันก็ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ทุก ๆ วันคือ ทำให้ดี ก็ไม่อยากไปตัดสินอนาคต หรือผูกมัดตัวเอง แต่ว่าเราก็ผ่านอะไรกันมาค่อนข้างเยอะ หลาย ๆ เรื่อง ในแง่ที่ว่าเปิดตัวมันก็ไม่เชิงขนาดนั้น เรื่องที่เราคุยกันแล้วจะออกมาสัมภาษณ์คู่คงไม่ใช่ตัวของตัวเอง เราก็เป็นผู้หญิงจะทำอะไรก็แล้วแต่ ผลเสียหรืออะไรมันก็จะตกกับตัวผู้หญิงมากกว่า ขนมจีนเป็นคนที่ทำงานเยอะมาตั้งแต่เด็ก ๆ ความคิดค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ตอนเด็ก ๆ ไม่เคยคิดอยากจะมีแฟนเลย ก็คิดว่าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วค่อยว่ากัน ณ จุดนั้นเรามีวุฒิภาวะมากพอ ที่จะคิดและตัดสินใจ โดยที่ไม่ใช้อารมณ์อย่างเดียว แล้วเราก็ดีใจที่เรามาถึงจุดนี้ได้ พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วค่อยสนใจเรื่องความรัก ให้ความรักมาเติมเต็มกับเรื่องงานของเรา ขนมจีนมองความรักในแงที่ว่าเป็นกำลังใจมากกว่าค่ะ การที่เรามีใครอีกสักคนที่คอยให้คำปรึกษา แชร์กัน คอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน มันเป็นอะไรที่ดีกว่าอยู่คนเดียว เราคุยกันปรึกษากันได้ทุกเรื่องจริง ๆ ก็ถือเป็นคนในครอบครัวที่เราสามารถคุยได้ ก็แฮปปี้นะ ทุก ๆ วัน อย่างเวลาที่เราทำงานเหนื่อย กลับมาคุยกัน มันเหมือนเป็นการชาร์จแบต เหมือนเป็นกำลังใจ คำนี้ใช้ได้จริง ๆ อย่างเหนื่อย แล้วได้คุยโทรศัพท์กัน ก็รู้สึกดีแล้ว พรุ่งนี้ทำงานต่อได้ เรียนต่อได้"
พี่เคนเขาตรงสเปกเรายังไง?
"ขนมจีนมีความรู้สึกว่า ผู้ชายที่เขาจะมาดูแลเราได้ เขาต้องมีความเป็นผู้นำมากกว่าเรา เพราะเราก็ค่อนข้างมีความเป็นผู้นำสูง เราก็ต้องดูแล้วว่าเขาดูแลเราได้ เป็นที่ปรึกษาให้เราได้ ที่สำคัญเขาเป็นคนที่ละเอียดอ่อน รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาจำได้ เขาเข้าใจเราทุกเรื่อง รู้นิสัยส่วนตัวเราว่าเป็นคนยังไง และเราก็ค่อนข้างรับกันได้ มันค่อนข้างตรงล็อกกัน นิสัยเขาเราก็รับได้ มันอาจจะเป็นช่วงเริ่มต้นก็จริง แต่มันเป็นการเริ่มต้นที่ดี"
เรียกว่า “รักแรก” เลยได้ไหม เพราะไม่เคยเห็นขนมจีนมีแฟนมาก่อน?
"รักแรกเหรอ ก็อาจจะเป็นไปได้นะคะ เพราะขนมจีนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจำกัดความไว้ได้ยังไง ตอนเด็ก ๆ ก็อาจจะมีบ้างที่แบบขำ ๆ เพื่อนล้อ แต่อันนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่ดูจริงจัง พูดตรง ๆ ว่าไม่อยากคาดหวังเรื่องความรัก เพราะว่าขนมจีนเป็นคนที่ชอบอ่านบทสัมภาษณ์ ข่าวเรื่องคู่รักบ่อย ๆ แล้วเราก็มามองว่า เราจะทำยังไงให้ความรักของเราเดินไปได้ด้วยดีแล้วก็มั่นคง ก็มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เราสามารถดูแลได้ กับที่เราไม่สามารถไปทำอะไรได้ เพราะฉะนั้นวันนี้มันยังดีอยู่เราก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด กับความสัมพันธ์ ณ จุดนี้ ในอนาคตจะเป็นยังไงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้คบกันมาเกือบปีแล้ว เขาก็ยังเสมอต้นเสมอปลาย เขาค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ อย่างเรื่องบางเรื่อง เราก็คิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่นะ แต่ก็ยังมีอีกมากที่เราไม่รู้ การคบกันทุกอย่างอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ทั้งฝั่งเราและฝั่งเขา เหมือนเราก็ให้เกียรติซึ่งกันและกันในการคบกัน เหมือนคบกันด้วยสติมากกว่า ทุก ๆ อย่าง ทั้งการกระทำ และหลาย ๆ เรื่อง"
ดูโลกของขนมจีนยามนี้จะสดใสไปหมด เพราะทั้งงานและความรักไปได้ดีทั้งคู่ แถมเธอยังเป็นสาวมุ่งมั่นซะด้วย เพราะถือว่าทุกอย่างไม่ไกลเกินฝัน หากตั้งใจจริง