บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ พระเอกหนุ่มสุดฮอตช่อง 3 ที่มีผลงานโดดเด่นมาตลอดทั้งปี แถมยังมีข่าวฮอตส่งท้ายปี กรณีภาพหลุดกับหญิงสาวที่เกาหลีที่ทำให้บอยต้องเปิดแถลงข่าวใหญ่ และร้องไห้เสียน้ำตากับเรื่องราวที่เกิดขึ้น... วันนี้บอยเปิดใจพูดถึงผู้หญิง คนสำคัญในชีวิตของเขาแบบหมดเปลือก
ที่มา : IN Magazine
แม่.. นางเอกเบอร์ 1 ในดวงใจ
คุณแม่เลี้ยงดูบอยมาแบบไหน?
"ตั้งแต่เด็ก แม่ปลูกฝังและเคร่งครัดให้เรามีระเบียบวินัยในชีวิตค่อนข้างเยอะ ตอนนั้นกับตอนนี้ความเคร่งในวินัยอาจน้อยลง เพราะผมโตขึ้นจนแม่วางใจว่าเราคิดอะไรได้แล้วแต่ยังเคร่งอยู่บ้าง ทุกวันนี้แม่ยังคงสอนทุกเรื่องเหมือนตอนผมเป็นเด็ก พูดให้ฟังเรื่อยๆ เพื่อให้เราได้คิด เพราะพอโตขึ้นเราเริ่มเรียนรู้ หลุดกรอบน้อยลง แต่ก็มีอะไรผิดพลาดไปบ้าง ซึ่งแม่ยังคงสอนเรา เป็นเรื่องเดิมๆ เรื่องหลักๆ ของที่บ้านที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือเรื่องกาลเทศะ สำหรับผม คำว่ากาลเทศะเป็นอะไรที่มวลรวม หมายถึงทำสิ่งที่เหมาะสมในเวลาที่ถูกต้อง ฉะนั้นเรื่องนี้มันอยู่ในทุกอย่างในชีวิตเรา"
คุณแม่ให้กำลังใจบอยตอนเป็นเด็กอย่างไร และพอโตขึ้น วิธีเปลี่ยนไปไหม?
"แม่เหมือนเป็นทุกอย่างของผม ทุกเรื่องที่เรามีปัญหาเรื่องเราต้องการคำปรึกษา แม่จะมีข้อคิดให้เสมอ แม่เป็นประเภทให้กำลังใจ พูดเพื่อให้เราสบายใจ และให้ข้อคิดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ครอบครัวเราเพิ่งมาโอบกอด จูบกันตอนโต เพราะตอนเด็กๆ เขินที่จะกอดหรือหอมแก้ม แต่ทุกวันนี้เช้าจะออกไปทำงานก็ขอกำลังใจโดยกอดแม่ และที่แม่พูดประจำคือขับรถดีๆ กินอะไรหรือยัง หรือถ้าผมจะไปทำงานใหญ่ งานอะไรที่เป็นครั้งแรกซึ่งพิเศษหน่อย เช่น เปิดกล้องหนังวันแรก หรือไปกองวันแรก แม่จะมีคำพูดที่ต่างไป เช่น ทำดีๆ ตั้งใจดีๆ เป็นต้น กิจกรรมที่ทำกับแม่บ่อยคือกินข้าว ดูหนัง เพราะแม่ชอบดูหนัง เรื่องล่าสุดที่เราไปดูด้วยกันคือ 'Gravity' เมื่อก่อนตอนที่ผมยังเรียนอยู่ เราจะกินข้าวนอกบ้านบ่อย เพราะที่บ้านทำกับข้าวไม่เป็น จะไปกันทั้งบ้าน มีคุณแม่ ผม หน่อง และภัทร กินข้าวเสร็จดูหนัง ดูกันทุกวัน จนไม่มีอะไรให้ดูเพราะหมดโปรแกรมแล้ว แต่ช่วงนี้ไปดูหนังกันน้อยลง เพราะผมไม่มีเวลาครับ"
สิ่งที่ภูมิใจสุดที่ได้เกิดเป็นลูกแม่
"ทุกอย่างที่เป็นผมในทุกวันนี้ ที่ได้อยู่ตรงนี้ มันอาจจะมีอะไรในตัวผมที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ผมมั่นใจว่าส่วนดีๆ ที่มีในตัวผมได้จากแม่มาทั้งหมด ผมเหมือนเป็นร่างก็อบปี้ของแม่ นิสัยคล้ายแม่ ทัศนคติมุมมองอะไรต่างๆค่อนข้างเหมือนกัน ความตั้งใจที่ผมอยากทำให้แม่ ตอนเด็กๆ เราอยากเรียนให้จบซึ่งผมเรียนจบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอะไรที่ดีใจมากๆ ที่ทำให้แม่ได้สำเร็จ ความจริงแม่ไม่ได้บีบคั้นว่าต้องเรียนเก่งๆ ต้องจบจุฬาฯ แต่พอเราเรียนจบ นี่คือสิ่งที่เราทำให้แม่ได้ ทุกวันนี้ไม่มีอะไรแล้ว แค่ทำงานให้เต็มที่เพื่อแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยอีก ผมอยากให้แม่สบายครับ"
นางเอกตัวน้อย
จุดเริ่มต้นของการรับน้องวันใหม่มาเป็นสมาชิกในครอบครัว?
"ผมไปถ่ายปกหนังสือเป็นการกุศลที่สถานสงเคราะห์ที่น้องอยู่ ตอนนั้นน้องอายุ 6 เดือน พอเจอรู้สึกถูกชะตา ผมกับแม่ชอบเด็ก หลังจากวันนั้นก็ชวนกันไปหาน้องบ่อยๆ พอไปหลายครั้งจึงคุยกันว่าอยากให้น้องมาอยู่กับเราที่บ้าน เพราะเราไปหาเขาบ่อยจนผูกพันกับเขา จนวันนี้น้องวันใหม่อายุ 1 ขวบ กับ 11 เดือนแล้ว การที่น้องมาอยู่กับเราที่บ้านเป็นอะไรที่ดีมากๆ ดีทุกด้าน ดีกับตัวน้อง ดีกับตัวเรา และดีกับครอบครัวด้วย ทำให้บ้านเราสมบูรณ์ขึ้น ตอนนี้เขาซนตามวัย เราก็สนุกกับพัฒนาการของเขา ผมมีโอกาสได้เลี้ยง ได้ป้อนข้าวเขาบ้าง แต่น้อยครับ เพราะผมไม่ค่อยอยู่บ้าน จนตอนนี้เขาเริ่มทำอะไรได้เองแล้ว ผมอยากมีลูกอยู่แล้ว เป็นอะไรที่ผมอยากให้มันเกิดขึ้น ยิ่งได้น้องตัวเล็กมาอยู่บ้านยิ่งดี ก่อนออกจากบ้าน ผมจะแวะเล่นกับเขาก่อน พอกลับบ้านก็แวะไปหา ทำให้ผมรู้สึกว่ามีใครที่รอเราอยู่บ้าน ผมเห่อน้องมาก จะถ่ายรูปและพาไปเที่ยว อย่างทะเลหรือโอเชียลเวิลด์ ตัวเราเฉยๆนะ เพราะเห็นมาหมดแล้ว แต่พอมีเขาเราอยากจะพาไปตื่นเต้น อยากเห็นว่าเวลาเขาไปเจออะไรใหม่ๆ จะเป็นยังไง"
วีรกรรมของวันใหม่ที่ไม่ธรรมดา?
"วันใหม่แกล้งผมทุกอย่าง ตีบ้าง ดึงผมบ้าง ตอนนี้เริ่มแกล้งมีชั้นเชิงมากขึ้น เช่น ผมบอกว่าขอจุ๊บหน่อยได้มั้ย เขาจะบอกว่าไม่ นี่คือการแกล้งในเลเวล1 และเลเวลล่าสุดที่ผมเจอเมื่อเช้าคือ พอขอจุ๊บ เขาบอกไม่ ผมทำท่าจะเดินออกจากห้องเขาก็แบบ เอ้า ยอมให้จุ๊บ แต่ทีนี้มีเลเวลใหม่ พอผมจะจุ๊บเขา เขาก็หันหน้าหนี และให้แท็ก หมายถึง การเอามือชนกัน โดยเขาตั้งมือรอ พอผมจะเอามือแท็ก เขาก็แกล้งเอามือลง ส่วนเรื่องการเรียน เราเต็มที่กับเขา เริ่มให้เรียนอนุบาลแถวบ้าน ถ้าโตพอเรียนประถมก็ต้องดูๆก่อน หลักๆเราอยากให้เขามีชีวิตที่ดี ทุกวันนี้น้องวันใหม่เป็นน้องในสายเลือดของพวกเรา ของฉัตรบริรักษ์ เป็นครอบครัวเราแล้ว เราจะเลี้ยงดูเขาอย่างดีที่สุด อยากให้เขามีชีวิตที่ดีที่สุด ตอนนี้ผมมีพี่น้อง 4 คนครับ"
นางเอกในจอ
นางเอกหนังคนแรกของบอย?
"ภาพยนตร์เต็มตัวเรื่องแรกของผมคือ 'ฝัน-หวาน-อาย-จูบ' นางเอกคือน้องตาล-กัญญา ซึ่งตอนนั้นผมยังขาดประสบการณ์ในการทำงานเคยเล่นแค่มิวสิกวิดีโอกับถ่ายหนังโฆษณา พอแสดงเรื่องนี้ ผมก็มีติดๆขัดๆ เพราะเรียนแอ็กติ้งไม่พอและการถ่ายทำค่อนข้างเร่ง แต่หนังออกมาโอเค ฟีดแบ็กดี คนชอบ สำหรับตัวผมเองรู้ตัวว่าเรายังเล่นแข็ง แต่เข้าใจได้เพราะเรายังไม่มีประสบการณ์ ตอนนั้นน้องตาลดังจากการเล่นละคร เล่นหนัง อย่างที่ผมทำคือ พยายามทำความรู้จักกับตาลก่อน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมทำประจำเวลาทำงาน คือผมอยากทำความคุ้นเคยกับนักแสดงและทีมงาน เพราะถ้ารู้จักกัน เวลาทำงานมันจะสนุกและไม่เครียด กับตาลยอมรับว่าเขาเล่นเก่ง ตาลช่วยผมเยอะ รู้ว่าผมยังเล่นไม่ได้แต่ก็ไม่หงุดหงิด และคอยบอกว่า พี่บอยใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ได้เอง"
นางเอกหนังคนล่าสุด ยิปโซ-รมิตา ในเรื่อง 'ฟัดจังโตะ' กับวันนี้ที่บอยไม่ใช่มือใหม่แล้ว?
"สิ่งที่ต่างกันคือผมมีประสบการณ์มากขึ้นต่างจากครั้งแรก ผมเก็บเกี่ยวมาเรื่อยๆ จากการเล่นหนัง เล่นละคร ส่วนสิ่งที่คล้ายกันคือ ก่อนจะมาเล่น 'ฟัดจังโตะ' ผมห่างจากการเล่นหนังมา 2 ปี ผมได้มาเจอความใหม่ของการเล่นหนัง หนังกับละครเป็นการแสดงเหมือนกัน แต่มีความต่างนิดนึง เช่น เรื่องของการเล่นเยอะ เล่นน้อย เรื่องของจังหวะ ผมต้องปรับจูนเยอะ ผมคุยกับพี่ยอร์ช-ฤกษ์ชัย ผู้กำกับ พยายามถามบ่อยๆ ว่าโอเคมั้ย จังหวะอย่างนี้ใช่หรือยัง อีกเรื่องที่ใหม่คือความเป็นคอเมดี้มากๆ ผมเคยเล่นแบบนี้ แต่ไม่จ๋าเท่าเรื่องนี้ มันจะเป็นอะไรที่ใหม่ ดังนั้นผมจึง หนึ่ง พยายามเรียนรู้จากพี่ยอร์ช สอง พยายามเรียนรู้จากยิปโซ เพราะถ้าพูดในแง่หนังคอเมดี้ ยิปโซมีประสบการณ์มากกว่า ผมจึงพยายามเก็บเกี่ยวและพยายามจูนกับยิปโซ คือดูจังหวะการเล่นของเขาว่าเล่นยังไง ก่อนจะมาเล่น 'ฟัดจังโตะ' ผมดูหนังที่ยิปโซเล่นหลายเรื่อง และเคยเจอตามงานบ้าง ผมคิดว่ายิปโซกับในหนังคงเหมือนกัน เขาไม่ได้เป็นคนแปลก แต่มักคิดว่าคนมองว่าเขาแปลก ในสายตาผมแวบแรกเขาอาจดูแปลก แต่เรื่องกระบวนการความคิดของเขาเป็นปกติ หมายถึงว่ามีความคิดเหมือนคนทั่วไป แค่เวลาที่ยิปโซสื่อออกมาทางคำพูด ศัพท์ที่ใช้ จังหวะพูดเร็วๆ หรือดูเหมือนง่วงๆ ทำให้เขาดูมีคาแร็กเตอร์มากกว่าคนอื่น ซึ่งผมว่าเป็นคาแร็กเตอร์ที่มีเสน่ห์นะ อย่าใช้คำว่าแปลกเลยยิ่งได้รู้จักยิ่งรู้ว่ายิปโซเป็นคนน่ารัก มีน้ำใจ และรู้ว่าเวลานี้ควรทำอะไร ความเหมาะสมคืออะไร มีทัศนคติทางที่ดีมากๆ แค่เรื่องของการแสดงออก เรื่องของคำพูดที่ใช้ซึ่งยิปโซคิดว่าคนฟังเข้าใจ แต่เราฟังแล้วแบบว่าแปลว่าอะไร พอเขาแปล เราถึงเข้าใจ ผมว่ายิปโซโอเค ผมการันตีว่าเขาไม่แปลก"
ทำไมรับเล่นหนังเรื่องนี้?
"ตลอด 2 ปีที่ผ่านมามีหนังเกือบ 10 เรื่องติดต่อให้ผมเล่น ที่ไม่รับเล่นเพราะส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องคิว ผมติดถ่ายละครเยอะมาก และบางเรื่องคาแร็กเตอร์ไม่เหมาะกับผม แต่เรื่องนี้เลขาของพี่แดง-ธัญญาซึ่งสนิทกับทีมงานหนังมาทาบทาม ผมก็ปรึกษาพี่แดงกับพี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์เป็นปกติอยู่แล้ว พี่แดงบอกว่าน่าจะเล่น เพราะพี่ยอร์ชทำหนังคุณภาพ จริงๆพอได้ยินว่าเป็นหนังของพี่ยอร์ช ผมก็อยากเล่นแล้ว ผมเป็นแฟนหนังของพี่ยอร์ชมาตั้งแต่ 'แสบสนิทศิษย์สายหน้า' ผมบอกพี่แดงว่าตกลงเล่นทั้งที่ยังไม่เห็นบท สุดท้ายได้มาคุยกับทีมงานและโปรดิวเซอร์ ผมสนใจมาก สุดท้ายผมหาคิวจนได้เพราะอยากเล่นมาก ถึงจะเป็นหนังคอเมดี้แต่มันมีอะไรที่มากกว่าทำให้คนหัวเราะ มันมีพล็อต มีแรงจูงใจว่าทำไมเราต้องเล่น ทำไมคนต้องไปดูในโรงหนัง.. มันเป็นเรื่องของผู้หญิงผู้ชายที่เลิกกันไปแล้ว แต่ต้องไปเที่ยวเมืองนอกด้วยกัน แค่นี้มันก็มีแรงจูงใจแล้ว"
พูดถึงนางเอกคู่จิ้น มาร์กี้-ราศรี มีเคมีอะไรที่ต้องกันจนแฟนละครอยากให้ 'จิ้น'?
"คนดูมองว่าเวลาผมกับมาร์กี้แสดงด้วยกัน มันดูเข้ากัน ซึ่งอันนี้ผมกับมาร์กี้ไม่รู้ แต่ถ้าดูณเดชน์กับญาญ่าแสดง ผมว่าเข้ากัน สำหรับผมพูดได้แค่ว่าผมกับมาร์กี้เล่นละครเข้าขากัน ทำงานแล้วจังหวะมันตรงกันแค่นั้นเอง ส่วนที่เหลือต้องให้คนดูตัดสินใจ แต่ถ้าในชีวิตส่วนตัวก็สนิทจนคุยกันรู้เรื่อง"
ตรงไหนที่บอยมองว่ามาร์กี้ไม่สามารถเป็นแฟนบอยได้?
"หนึ่ง ไม่ได้ชอบมาร์กี้แบบเป็นแฟนตั้งแต่แรก ไม่ได้มีความคิดว่าเจอผู้หญิงคนนี้แล้วชอบ จะเป็นแฟน แล้วพอสนิทมากๆ จนกลายเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง ยิ่งไม่มีความคิดนี้อยู่เลย ความน่ารักของมาร์กี้คือเรื่อง ความเป็นห่วงเป็นใย นอกเหนือจากที่สนิทกัน มีกิจกรรมหรือว่าอะไรที่ทำคล้ายกันแล้ว เรายังมีความคิดคล้ายๆกันด้วย สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับมาร์กี้มากๆ คือเขามีความห่วงใยให้ตลอดไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผมแฮปปี้ หรือช่วงที่ผมทุกข์ ยิ่งผมมีเรื่อง เขาห่วงผมเยอะ ส่งข้อความ โทรคุย และให้กำลังใจไม่ต้องคิดมาก และที่สำคัญคือทุกเรื่องที่มาร์กี้เป็นว่าผมทำไม่ดี เขากล้าที่จะว่าผม"
นางเอกในชีวิตจริง
การเป็นพระเอกดังส่งผลต่อการหาแฟนได้ยากหรือง่ายกว่าคนอื่นๆไหม?
"ความจริงแล้วผมไม่ได้ถึงกับต้องหาแฟน เพราะมันมีจุดที่ผมต้องคิดเพราะทำงานเยอะ พอเริ่มจะคุยกับใครก็ต้องเบรกตัวเองไว้ จะเริ่มคุยกับใครก็ดูตารางงานซึ่งไม่ว่างอีกนาน แล้วใครจะมารอเรา จะมาทนเราได้มันทำให้เรื่องแฟนและความรักกลายเป็นเรื่องรองจากการทำงาน ส่วนเรื่องมีลูก วันหนึ่งต้องมีแน่นอน แต่ความคิดของผมซึ่งมันจะถูกหรือผิดไม่รู้ นั่นคือผมคิดว่าเราคงจะได้ทำงานเยอะๆ หนักๆ อย่างนี้อีกสัก 4-5 ปี เพราะทุกอย่างมันมีระยะเวลาของมัน แล้ววันหนึ่งผมก็จะมีเวลาว่างมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถึงวันนั้นค่อยมีแฟน ยอมรับว่าทุกวันนี้เราทำงานก็สนุกกับงาน และอยากเก็บเงินด้วย เป็นการเก็บเงินเพื่ออนาคตของตัวเอง และอนาคตของคนที่จะเข้ามาอยู่กับเราด้วย"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ต้องระวังตัวมากขึ้นไหม ในการเริ่มต้นคบหาใคร?
"ไม่ครับ อะไรที่มันอาจจะเคยพลาดไป เราแค่เก็บมาเป็นบทเรียน อะไรที่พลาดไปแล้วก็จะไม่ทำอีก แต่คงไม่ถึงขนาดปิดตัวเอง ไม่คุยกับใครไปเลย คงไม่ถึงขั้นนั้น และผมพยายามทำตัวเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง เราแค่มีบทเรียน ต่อไปจะทำอะไรก็ต้องคิดให้มากขึ้น"
วิธีจีบสาวของบอยเป็นอย่างไร?
"เวลาจีบ ผมเป็นคนประเภทพูดไม่ค่อยเพราะ ไม่โรแมนติก ถ้าเกิดว่าจะจีบใคร ผมจะคุยและเล่นๆกับเขา เพราะเป็นพวกชอบแซวๆ จริงๆ ก็แซวทุกคนนั่นแหละ ทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่กับคนที่ชอบจะไม่พูดดี เขาน่าจะรู้ว่าผมชอบเขานั่นแหละ แต่ก่อนที่ผมจะบอกว่าชอบ ผมก็ต้องดูแล้วว่าเขาน่าจะคิดอะไรกับผมด้วย ส่วนเรื่องชีวิตครอบครัว ผมเฉยๆ เพราะตอนนี้หลักๆ คือการทำงาน แต่ถ้าจะมีจังหวะเข้ามามันก็มาเอง ผมคิดไว้แค่นี้ ไม่มีกะเกณฑ์อะไร บางทีอีก 3 เดือนข้างหน้าผมอาจจะคบใครแล้วก็ได้"