เพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นาน แต่ชื่อของ อายส์-กมลเนตร เรืองศรี หนึ่งในห้าสาวซิกซ์เซนส์ จากละคร “สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2” ก็เริ่มเป็นที่รู้จัก และเข้าไปนั่งอยู่ในใจของแฟน ๆ ละครแล้ว งานนี้ “ดาวต่างมุม” ได้คิวเธอมาแบบพิเศษสุด ๆ เพื่อนั่งพูดคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในวงการบันเทิงของเธอ รวมถึงเรื่องของหัวใจที่เปิดเผยหมดเปลือกด้วย
ที่มา : เดลินิวส์
ซิกซ์เซนส์ ซีซั่น 2 ต่างจากซีซั่นแรกอย่างไร?
"ถ้าเป็นเรื่องคาแรกเตอร์ “สุคนธรส” ก็ยังเป็นสาวห้าวเหมือนเดิม แต่จะใส่ความหวานลงไปด้วยนิดนึง เพราะแต่งงานมีสามีแล้ว แต่ก็ยังรักเพื่อนไม่เปลี่ยน ยังต้องจัดการคดีของเพื่อน ไปช่วยเพื่อน ส่วนการแสดงมันคงไม่มีอะไรมาก เพราะเรื่องของเราถูกเล่าไปแล้วในซีซั่นแรก ซีซั่นนี้เราไปเสริมกับเพื่อน ปลอมตัวไปช่วยเพื่อนคนนั้น ปล่อยพลังช่วยเพื่อนคนนี้ค่ะ ซีซั่น 2 ตอนแรกก็คิดว่าคงจะง่ายขึ้นนะ แต่พอมาเจอจริง ๆ รู้สึกว่า จินตนาการยังไม่ทิ้ง เราเล่นกับอากาศ ถ่ายบนกรีนสกรีน สื่อสารให้เห็นเป็นภาพเดียวกันระหว่างตัวเรา นักแสดงที่ร่วมฉากและผู้กำกับ มันเลยไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้"
ท่าทางจะถูกโฉลกกับละครเหนือจริง?
"นั่นสิคะ หนูว่ามันเป็นเรื่องยากนะ ตอนซีซั่นแรก ช่วง 3 เดือนแรกของการถ่ายทำ หนูแย่มาก ในเรื่องทัศนคติและความเข้าใจในการแสดง คือหนูมาจากเอ็มวี โฆษณา เรารู้สึกว่าเราน่าจะแสดงละครได้ แต่คิดผิด เอ็มวีหรือโฆษณากับละครนี่คนละเรื่องเลย ละครมันต้องเป็นความรู้สึกจริง ๆ บทสนทนาต่าง ๆ ถ้าเราไม่รู้สึกแล้วพูด คนดูจะรู้ว่าเราท่องบท ยิ่งมาเจออภินิหารสายฟ้าแลบแปดมังกร มันเลยกดดันมาก เล่นแล้วรู้สึกว่ามันปลอม ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องการเรียนด้วย เพราะขาดเรียนบ่อย งานก็ต้องตามเยอะ จะสอบแล้วก็ยังไม่อ่านหนังสือ ไหนจะบทละครอีก ทำให้หนูเครียด ไม่อยากไปกองถ่ายเลย ร้องไห้กับรูมเมท แต่ทุกคนก็ไม่ทิ้งหนู ครูสอนการแสดง พี่ดุ๊ก ภาณุเดช พี่ต้นที่เป็นผู้จัด ทุกคนเรียกหนูไปคุยว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ดุ๊กเปิดสมุดแล้วถามเลยว่าอายส์เรียนอะไรอยู่ มีวิชาอะไรบ้าง มีอะไรที่พวกพี่พอจะช่วยได้ หรืออะไรที่อายส์จะต้องจัดสรรในชีวิตของอายส์ โอเค อายส์ถ่าย 2 เรื่อง มีเรื่อง “เหนือเมฆ 2” ด้วย เขาก็ขอให้โฟกัสใหม่ ไม่ให้เอาการบ้านมาทำที่กอง ไม่ให้เอาบทไปท่องที่ห้องเรียน เราเลยปรับและเริ่มเข้าใจแล้วว่าเราทำงานแล้ว เราต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น ๆ ทำให้เรามีสติมากขึ้นในการใช้ชีวิตแต่ละวัน เข้าใจว่าการแสดงมันเป็นแบบนี้ หนูได้พี่เกรท-วรินทร เป็นพาร์ทเนอร์ด้วย พี่เขาบอกเขาเห็นอายส์แล้วเหมือนเห็นตัวเองเล่นเรื่องแรก แต่ตอนนั้นเขาไม่มีคนมาคอยบอกแบบนี้ เขายังบอกให้เราหาทางของเราให้เจอแล้วพาตัวเองไปตรงนั้น"
ตอนนี้หาทางตัวเองเจอหรือยัง?
"เจอแล้วค่ะ ตั้งแต่ซีซั่นแรก 4 เดือนในการถ่ายทำ คือหลังจาก 3 เดือนแรกผ่านพ้นไปเราก็เริ่มมีความสุขในการมากองถ่ายแล้ว จากที่ก่อนหน้านี้กดดันมานาน เพราะตัวละคร สุคนธรส มีบทเยอะด้วยประมาณ 10 กว่าซีนต่อวัน ตอนนี้ถ้านึกย้อนไปช่วงนั้นหนูมักจะเล่าให้ทุกคนฟังถึงความแย่ของหนู แล้วถ้าหนูไม่คลิกหรือปรับมัน หนูคงไม่มีวันนี้หรอก เคยพูดกับเพื่อนอยากกลับไปเรียนหนังสือเหมือนเดิม ไม่อยากมาแล้ว ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเราไม่มากองถ่าย เราอาจโดนเรียกค่าเสียหายหรือเปล่า แล้วต้องเขียนบทให้คนใหม่มาเล่นอีก คิดไปไกลขนาดนี้เลย มันเครียดมาก แล้วต้องถ่ายเปลี่ยนมุมกล้องไปมา มันเลยเหนื่อยและท้อ ยิ่งทำไม่ได้อีก ก็ยิ่งกดดันใหญ่"
ผ่านงานแสดงมา 2-3 ปีแล้ว พัฒนาขึ้นมากน้อยแค่ไหน?
"หนูจำได้ว่าเซ็นสัญญาตอนอายุ 20 ปี ตอนนี้ก็พัฒนามากขึ้นกว่าตอนนั้นนะ แต่ถ้าเทียบกับทุกคนถือว่าด้อยกว่าค่ะ หม่อมน้อยบอกไม่มีใครแก่เกินเรียน อย่าง พี่นก สินจัย พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เวลาเขาได้รับบท เขาก็ต้องฝึกตัวเอง ทุกคนจะต้องฝึกฝนอยู่ตลอด หรืออย่างพี่ดุ๊ก ภาณุเดช แม้จะออกไม่กี่ซีน แต่ทุกซีนเขาเอาไปกินเลย ด้วยแอ๊คติ้งของเขา หนูคิดว่าซีซั่นแรกนี้หนูประสบความสำเร็จแล้วนะ ซีซั่น 2 ประสบความสำเร็จยิ่งกว่า ในแง่ของละครทั้งเรื่อง เวลาเดินไปไหนคนก็จะ นี่ไงซิกซ์เซนส์ แสดงว่าละครเราประสบความสำเร็จแล้ว ไปต่างจังหวัดคนก็รู้จัก"
พอเริ่มมีชื่อเสียง ใช้ชีวิตลำบากขึ้นไหม?
"ไม่ลำบากนะคะ เพราะหนูยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ยังไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง บางคนอาจตกใจว่าทำไมเรามาเดินอยู่แถวนี้ อยากบอกว่าดาราก็คือคนธรรมดาเหมือนกันนี่แหละค่ะ มันเป็นอาชีพหนึ่ง คืออาชีพนักแสดง คนมาขอถ่ายรูปก็ให้ถ่ายรูป ใช้ชีวิตของเราปกติไป เด็ก ๆ เข้ามาบอก หนูชอบพี่มาก เขามือสั่นเลยค่ะ เราเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ เพราะเราก็เคยชอบนักร้อง แล้วนักร้องที่เราชอบก็วางตัวธรรมดา ไม่ถือตัวเลย เลยยึดนักร้องคนนั้นเป็นไอดอลในการปฏิบัติต่อแฟนคลับ เพราะเขาไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเราคือแฟนคลับและเขาคือนักร้องอยู่บนเวที แต่เป็นเหมือนเพื่อนและพี่ เพราะฉะนั้นน้อง ๆ คนที่มาชอบหนูตั้งแต่หนูยังไม่ดัง พอมีผลงาน คนเหล่านี้จะรู้ว่าหนูเป็นคนยังไง มันคือพี่อายส์นะ ไม่ใช่อายส์ กมลเนตร"
ตอนนี้แฟนคลับอายส์เยอะไหม?
"เยอะมากค่ะ เพราะละครช่อง 3 มันแมสมาก จากแต่ก่อนเราแค่เล่นเอ็มวี ถ่ายแบบ มันก็เป็นงานเฉพาะ พอมาเล่นละคร คนดูเขาชอบที่ตัวละครก่อน แล้วมาดูว่าใครเล่น อ๋อ อายส์ กมลเนตร ไหนดูไอจีหน่อย ยุคนี้นักแสดงกับแฟนคลับมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น คนที่ติดตามเราก็จะเห็นว่าชีวิตของ อายส์เป็นแบบนี้นะ"
ทางบ้านได้แนะนำอะไรอายส์บ้างสำหรับการใช้ชีวิตในวงการบันเทิง?
"แม่พูดเสมอว่าอย่าหยิ่งนะ อย่าลืมว่าเราเป็นใครมาก่อน เราก็เคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีเหมือนกัน ตอนเด็ก ๆ หนูไม่ค่อยได้เจอดารา ดังนั้นการเจอดารามันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ในชีวิต แม่จะบอกว่าเราต้องสละเวลาให้คนที่จะขอถ่ายรูป อย่าไปหยิ่ง ส่วนข่าวในวงการบันเทิง แม่ก็ไม่ได้ห่วงอะไร ส่วนใหญ่มีข่าวหนูจิ้นกับพี่จ๊ะ จิตตาภา (หัวเราะ) ที่บ้านรู้อยู่แล้วว่าเป็นพี่น้องกัน เขาไม่ได้ห่วงอะไรเรามาก เพราะรู้ว่าเราเป็นคนยังไง"
ดูเหมือนบุคลิกของอายส์ห่างไกลจากความเป็นดารามากนะ?
"ทุกคนบอกว่าผิดสายหรือเปล่าเนี่ย ไม่น่ามาเล่นละครได้ พี่ที่หนูรู้จักคนหนึ่งอยู่ที่อังกฤษ ที่นั่นมีชุมชนคนไทย เขาบอกว่ามีคนที่ติดตามไอจีหนู แต่ไม่เคยรู้ว่าหนูเป็นนักแสดง เขาติดตามไอจีหนู เพราะเห็นว่าหนูถ่ายรูปสวยและมักมีอะไรแปลก ๆ มารู้ทีหลังว่าหนูเป็นดาราช่อง 3 ก็เลยมาดูละครไทยผ่านยูทูบที่อังกฤษ หนูก็ฝากขอบคุณเขาด้วย ตัวตนจริง ๆ ของอายส์ไม่ถึงกับห้าวมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเรียบร้อย ง่าย ๆ สบาย ๆ มากกว่าค่ะ"
ตอนนี้หลงรักงานแสดงเลยใช่ไหม?
"รักเลยค่ะ ถ้าเทียบจากตอน 3 เดือนแรกนั้นนะ (หัวเราะ) ชอบมาก จะให้เล่นแบบไหนก็ได้ ครูสอนแอ๊คติ้งคนแรกคือครูเจิน เขาสอนหนูในคลาสให้เราเล่นเป็นค้างคาว ดูสิเล่นยังไง เล่นเป็นหมาป่า ทำตัวเป็นลูกบอล จะเล่นยังไง เราแค่เชื่อว่าเราเป็นสิ่งนั้นเราก็สามารถเป็นตัวละครอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่บทนางเอก ครูบอกว่าเขาไม่ได้สอนนางเอกเรื่องซิกซ์เซนส์ แต่สอนนักแสดงเรื่องซิกซ์เซนส์ สอนสุคนธรส"
เข้าวงการบันเทิงมาระยะหนึ่งแล้ว มองภาพในวงการต่างไปจากเดิมไหม?
"ตอนที่ยังไม่ได้เข้าวงการบันเทิงหนูไม่ชอบนะ คิดว่ามันเฟค พอเข้ามาก็จริงตามที่เราคิด แต่มันไม่ได้มีแต่มุมมืดอย่างเดียว มุมดี ๆ เหตุการณ์ดี ๆ คนดี ๆ ก็มีตั้งเยอะ มันเหมือนทุกอาชีพที่ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว ขึ้นอยู่กับเราว่าจะไปหยิบจับอะไร หรือเอาตัวเข้าไปอยู่ใกล้วงโคจรตรงไหนมากที่สุด อะไรที่เรารู้ว่ามันไม่ดีเราก็ไม่ทำไม่ยุ่ง มันก็จบ อะไรที่ดีเก็บเอาไว้ ทั้งเพื่อนร่วมงานที่ดี หรือคำสอนของผู้ใหญ่ มันยิ่งกว่า 4 ปีที่หนูเรียนในมหาวิทยาลัยอีก หนูเริ่มทำงานตอนอยู่ปี 3 ซึ่งเป็นช่วงที่เรียนหนักมาก ปี 1-2 หนูยังวิ่งแคสงานโฆษณาอยู่เลย มันเลยเป็นช่วงที่คาบเกี่ยวกันอยู่ทั้งการเรียนและงานแสดง เวลาที่ผิดหวังจากงานเราก็ยังมีกลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัย ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเขาจริงใจกับเราอยู่แล้ว เขาเห็นเราตั้งแต่เรายังไม่มีชื่อเสียง เขาอยู่ข้าง ๆ และคอยสนับสนุนเรา หนูคงเรียนจบไม่ได้ถ้าไม่มีเพื่อนดี ๆ หรือครูไม่เข้าใจ เพราะหนูเข้าเรียนน้อย ดังนั้นเกรดหนูเลยน้อยกว่าคนอื่นเพราะส่งงานช้า เช่น เพื่อนได้ เอ กมลเนตรได้ บีบวก"
อายส์เรียบจบจากที่ไหน?
"คณะมนุษยศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ค่ะ ตอนนี้เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย โล่งแล้ว ตอนปี 3 เกรดตกมาก โชคดีที่ปี 1-2 ทำดีเอาไว้เยอะค่ะ หนูเคยคิดว่าคงจบไม่พร้อมเพื่อนแน่ ๆ แต่เราอยากรับปริญญาพร้อมกับเพื่อนนะ เพื่อน ๆจะช่วยกันบอกเราว่ามีงานอะไรบ้าง ต้องส่งวันไหน อะไรส่งก่อน ส่วนงานกลุ่ม เพื่อนก็ให้เราทำในส่วนที่เราทำได้ คะแนนเราอาจจะน้อยกว่าเพราะไม่ได้ทำเยอะเหมือนเขา"
เป็นดาราที่มีชื่อเสียงแล้ว ตั้งเงื่อนไขเรื่องความรักไว้บ้างไหม?
"หนูเชื่อว่าความรักเป็นสิ่งที่โอเคนะ มันดี เพราะว่าหนูเคยเห็นเพื่อน เขาเป็นแฟนกัน เขาเป็นเด็กเนิร์ดมาก แต่เขาพากันเรียน พากันประสบความสำเร็จ นี่สิคือความรักจริง ๆ"
ตัวอายส์เองมีความรักหรือยัง?
"คุยอยู่ค่ะ คือเราเริ่มจากความเป็นเพื่อนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม แล้วเพิ่งมาเจอกันมากขึ้น ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ปี 3-ปี 4 ก็โอเคที่บ้านรู้จัก แต่เรายังไม่ใช้คำว่าแฟน ไม่ใช่คำตอบแบบดารา เรายังคุยกันไปอยู่ คือเวลาเราแย่ เราเหนื่อยมาจากงาน หรือเราเจอเหตุการณ์อะไร ก็จะคอยดึงเราไว้ คือมันมีคนอยู่ข้าง ๆ นอกจากพ่อแม่หรือเพื่อนแล้ว คือมันเหมือนเพื่อนกันมากกว่า อยู่ในแก๊งเพื่อน"
ถ้าอายส์ไม่อยู่ในวงการบันเทิง อาจจะเปิดได้มากกว่านี้หรือเปล่า?
"ไม่เกี่ยวนะ เพราะส่วนตัวหนูตั้งแต่หนูเด็ก ๆ หนูไม่ชอบคำว่าแฟน แต่หนูก็ยังหาคำอะไรที่มาแทนคำนี้ไม่ได้ หนูไม่ชอบใช้คำเหมือนคนอื่น หนูรู้แล้วว่าเราเริ่มมาจากความเป็นเพื่อน เรารู้สึกดีด้วยกัน ก็โอเคแล้ว เราไม่ได้ทำอะไรแย่ ๆ หนูรู้คนเขามองเรา เด็ก ๆ เขามีเราเป็นไอดอล เราต้องทำอะไรก็ได้ที่น้องต้องอยากทำตามเรา เราจะไม่ทำอะไรที่มันไม่ดีเพื่อให้เด็กเอาแบบอย่างแน่นอน เชื่อว่าเด็กไทยมีวิจารณญาณ ถ้าเห็นหนูทำอะไรก็ตัดสินใจได้ว่าอะไรดีไม่ดี"
สเปกของเราต้องเป็นคนนอกวงการหรือเปล่า?
"หนูไม่ชอบความรักที่เดินเข้ามาจีบ ความแปลกของหนูอย่างหนึ่งคือ เราจะรู้จักกันมาก่อน หรือบางทีชีวิตหนูจะมีชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่มันหายไป แล้วแบบว่ามาเจอกัน เป็นเหมือนเพื่อน นิยามความรักนี่ไม่มีเลย หนูเหมือนไม่ได้โฟกัสเรื่องนี้ คนที่จะเข้ามาชอบหนูก็ต้องรู้แล้วว่า เราไม่ใช่ผู้หญิงที่งุ้งงิ้ง หวาน หรือมีมุมความรักอะไรขนาดนั้น ความรักของหนูคือการใช้ชีวิตมันคือการไปด้วยกัน ทำอะไรด้วยกัน รู้ว่าชอบอะไร ทำอะไรแล้วมีความสุข แบบนั้นมากกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าการอยู่ในวงการแล้วมีความรักยากขึ้น มันอยู่ที่การวางตัวมากกว่า โอเคถ้าหนูไปจูงมือกันในที่สาธารณะ กอดกัน แบบนี้ไม่น่ารัก เราทำอะไรเราต้องดู เราเป็นคนที่ไปไหนมาไหนมีคนรู้จัก แต่เวลาหนูไปไหนก็ไปด้วยกันนะคะ แต่ว่าที่ ๆ ไปมันจะเป็นการเดินถนน เพราะชอบถ่ายรูป เวลาไปก็จะมีกล้องคนละตัว ถ่ายรูป หาร้านกาแฟที่มันน่ารัก ๆ เขาก็ทำงานเขาไป หนูก็นั่งเขียนคอลัมน์ให้หนังสืออะเดย์ ของหนูไป อันนี้เวลาที่ไม่ต้องถ่ายละคร หนูก็ยังมีชีวิตของหนูที่เป็น ไอ้น้องอายส์คนเดิม ทำแล้วมีความสุข"
มีอะไรอยากฝากถึงแฟน ๆ ไหม?
"ขอบคุณก่อนเลยค่ะ ขอบคุณที่ดู คนที่ติดตามหนูมาตั้งแต่แรก น่าจะเห็นว่า จากที่เล่นละครเป็นธรรมชาติของหินอยู่ พอหนูทลายกำแพง มันก็เริ่มดีขึ้น ก็ขอบคุณ ถ้าหนูมีอะไรก็ติชมได้ เพราะหนูอยากพัฒนาตัวเอง หนูรักตรงนี้แล้ว หนูไม่ใช่นางเอก หนูเป็นนักแสดงที่ยังไม่เก่ง แต่อยากจะแข่งกับตัวเอง เพราะหนูแข่งกับคนอื่นไม่ได้หรอก"
จากการพูดคุยรู้สึกได้ว่า เธอมีแนวคิดที่ใฝ่ดีไม่น้อย...และเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่มุ่งมั่นจะพัฒนางานของตน และดำรงตนให้อยู่ในกรอบที่ดีงาม สมกับเป็นคนของประชาชน...ยังไงก็ขอให้ก้าวเดินบนถนนเส้นนี้อย่างสวยงามนะจ๊ะ