กลับมาเรียกเรตติ้งให้กับละคร “สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2” ทางช่อง 3 อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ทำเอาแฟนละครติดกันงอมแงม เลยต้องขอนัดคิวนางเอกของเรื่อง จ๊ะ-จิตตาภา แจ่มปฐม มานั่งพูดคุยถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต ทั้งการงาน ความรัก และข่าวคราวต่าง ๆ ซึ่งจ๊ะเปิดเผยกับ “ดาวต่างมุม” แบบหมดเปลือกจริง ๆ
ที่มา : เดลินิวส์
ฟีดแบกละครตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
"ถ้าโดยรวมก็ถือว่าก็ดี ในแง่ของทั้งเรื่อง คนจะบอกว่ามันหลากรสชาติ ดูน่าติดตามมากขึ้น เพราะต่างคนต่างก็มีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง สมกับที่รอคอย แต่คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมีการเปรียบเทียบกับภาคแรก โดยเฉพาะในเส้นเรื่องของจ๊ะ เป็นเส้นเรื่องที่ถูกคิดขึ้นมาใหม่ ไม่มีในบทประพันธ์ ไม่มีอยู่ในหนังสือ แน่นอนก็ต้องมีคนที่คิดว่า เฮ้ย มันไม่ใช่ กับมีคนที่รู้สึกลุ้นตาม ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจทั้งสองฝ่าย พวกเราไม่ค่อยได้ดูละครกันเท่าไหร่ เพราะยังถ่ายอยู่ตลอด ก็ใช้วิธีมานั่งดูย้อนหลังกัน เห็นฉากที่เราถ่ายกันถึงตีห้า หกโมง พอมันถูกตัดต่อออกมา ร้อยออกมาเป็นละครแล้วก็คุ้มกับที่เราเหนื่อยกันไป ภาคนี้ต้องถ่ายไปออกไปจนใกล้ ๆ จบกันเลย ซึ่งมันเหนื่อยและค่อนข้างกดดันมาก ต้องทำงานแข่งกับเวลา เราจะต้องมีสติและสมาธิมากขึ้น เมื่อก่อนทำงานไปเล่นไปได้ แต่ตอนนี้เราจะมานั่งเล่นนั่งคุยกันก็ไม่ใช่แล้ว"
ถ้าให้คะแนนในเรื่องของการแสดงจะให้ตัวเองเท่าไหร่ดี?
"เต็ม 10 ใช่ไหม มันยังมีอีกหลายอย่างที่จ๊ะอยากลองเล่น อยากลองทำ จ๊ะยังอยู่ที่ครึ่ง ๆ ดีกว่า เพราะมีความรู้สึกว่า บทที่ได้เล่นตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้จะ 10 ปีแล้ว มันแวบเดียว ที่อยู่ในวงการ บทส่วนใหญ่จะเป็นบทหวาน นุ่มนิ่ม ร้องไห้ ซึ่งมันยังมีอีกหลายแบบที่จ๊ะอยากสัมผัส แล้วยังไม่ได้ทำ ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าถ้าเราได้ไปทำตรงนั้นเราจะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตอนนี้คงต้องใช้เวลาและโอกาสเป็นเครื่องพิสูจน์"
เป็นเพราะหน้าหวานด้วยปะ ถ้าไปบทอื่นอาจจะไม่เหมาะ?
"เขาก็ว่าอย่างนั้นกัน (หัวเราะ) ว่าหน้าหวาน แล้วคนชอบจับจ๊ะไปลงพีเรียดซะเยอะ บางทีคนก็จะติดภาพเราตรงนั้น แต่ว่าด้วยความที่เป็นตัวจ๊ะจริง ๆ นั้นไม่ใช่เลย แล้วไม่มีความใกล้เคียงด้วย จ๊ะไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเรียบร้อยเลยนะ จ๊ะเป็นผู้หญิงห้าว ลุย ดุ ออกแนวแบบซ่าด้วยซ้ำ เป็นคนแข็งค่ะ ไม่ได้นุ่มนิ่มนุ่มนวลเหมือนในละคร พอต้องเล่นสาวหวานเรียบร้อย เราก็จะโอ๊ย อีกแล้วเหรอ มันก็มีความรู้สึกแบบนี้นะ แต่อีกนัยหนึ่งมันก็ท้าทายตัวเองตรงที่มันห่างไกลเหลือเกินค่ะ จ๊ะมีหลายอย่างที่ต้องปรับ จ๊ะเป็นคนเดินฉับ ๆ ห้าว มั่นใจ หรือว่าการพูด น้ำเสียง ตัวละครจะต้องยอม แต่หางตานี่ไปแล้ว เสียงแข็งไปแล้ว ซึ่งต้องปรับให้ซอฟต์ลง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายสำหรับจ๊ะ ถ้ารู้จักจ๊ะจริง ๆ จะรู้เลยนะว่าจ๊ะห้าวมาก อย่างเรื่องแรก “เรือนรักเรือนทาส” ถือว่าฝืนมาก ต้องมาใส่ชุดไทย ผมทรงกระทุ่มมาเลย แต่อันนั้นโดนป้าแจ๋วดัดซะเยอะ ป้าแจ๋วบอกว่า ท่าเดินแกนี่ไม่ไหวนะ พูดจาให้ดูนุ่ม ๆ หน่อย สายตามันต้องนุ่ม ต้องมีความเป็นผู้หญิง ส่วนใหญ่จ๊ะจะโดนว่าในเรื่องของความไม่มีจริต ในความเป็นผู้หญิงตัวละครก็ต้องมีมุมมีจริตจะก้าน แต่เราจะออกมาเป็นแมน ๆ ซะส่วนใหญ่"
อยู่วงการมาจะ 10 ปีแล้ว แต่ชื่อเสียงจ๊ะเหมือนจะนิ่งๆ?
"อาจจะด้วยอยู่กันมา 10 ปี ก็จะมีช่วงที่รับละครน้อยลงด้วย จริง ๆ จ๊ะเป็นประเภทมีเป้าในชีวิตสูง อย่างตอนเรียนก็ตั้งเป้าว่าอยากได้แบบนี้ แล้วก็ไม่อยากให้อะไรมาขัดเป้าที่เคยวาง พอทำได้ตามเป้าจ๊ะก็มีความสุข อย่างจ๊ะวางเป้าไว้ว่าจ๊ะอยากได้เกียรตินิยมอันดับ 1 แล้วจะได้ได้ยังไงถ้ายังมีละคร 7 วัน มันเป็นไปไม่ได้ ที่จุฬาฯ ก็ห้ามขาดเรียน เราก็ต้องจัดการเวลาดี ๆ เพื่อที่จะบาลานซ์สิ่งที่เราอยากทำตั้งแต่แรก พอได้มาแล้ว เราก็เฮ้ย ในที่สุดก็ได้มา แล้วก็มาทำละครเต็มตัว แต่ว่ามันก็จะมีช่วงที่พอเรียนจบปุ๊บ ตัดสินใจยื่นเรื่องที่จะไปต่อโทที่บราวน์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ที่อเมริกา แล้วเขารับแล้ว ก็เป็นจังหวะชีวิตที่เอาไงดีอ่ะ ร้องไห้ ตัดสินใจไม่ถูก เราจะไปดีไหม คือมันไม่ใช่ใครก็ได้ แต่บังเอิญว่าด้วยเกรดเฉลี่ย และหลาย ๆ อย่างที่เราส่งไป เขาให้ทุนด้วย มันก็เป็นความภูมิใจนะ เพราะมันก็เป็นมหาวิทยาลัยไอวี่ลีก ที่ติด 1 ใน 10 ของโลกอันดับต้น ๆ เราก็เอาไงดี หลาย ๆ คนก็บอกว่า จ๊ะมันไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ว่าคุณพ่อกับคุณแม่บอกเลยว่า แล้วแต่ยู มันเป็นชีวิตของยู ยูต้องจิ้มเอง วิธีที่ดีที่สุดคือ ถามใจตัวเองว่า อยากเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน ซึ่งจ๊ะก็นั่งทบทวนอยู่นาน ตรงนี้ก็รัก แล้วก็รักไปแล้ว สุดท้ายก็เลือกทำตามใจตัวเอง ตัดสินใจอยู่ตรงนี้แล้วก็แคนเซิลตรงนั้นไป ถามว่ามันก็จี๊ดเหมือนกันนะ มีความรู้สึกว่าเสียดาย อีกนัยหนึ่งก็คือ เอาวะ เราชอบตรงนี้ก็ลุย"
ณ วันนี้ที่ตัดสินใจทิ้งตรงนั้นไป คิดถูกหรือคิดผิด?
"มันบอกไม่ได้นะ จ๊ะไม่รู้ว่าชีวิตตรงโน้นจะเป็นยังไง ถ้าไปอยู่ จ๊ะจะเป็นจ๊ะแบบไหน จะทำอะไรอยู่ บางครั้งก็คิดถึงทางที่เราไม่ได้เลือกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคิดถูกไหม แต่มันมีความสุขมากกับสิ่งที่ตัวเองเลือก คือจ๊ะไม่ได้เลือกว่าเราเล่นละครแล้วเราจะต้องดังในระดับไหน แต่ว่าการทำงานการไปกองทุกวัน มันมีความสุข ไปกองแล้วได้เห็นพัฒนาการของตัวเอง ผลงานไม่รู้ออกมาแล้วจะได้ในระดับไหน แต่ได้เห็นข้อดีและข้อเสีย เห็นข้อติชมจากคนดู ดังนั้นการทำงานของจ๊ะไม่ได้ทำเพื่อจะได้เงินเท่านี้ ไม่ได้เล่นละครเพื่อให้ได้อยู่ในจุดนี้ แต่ทุกวันของจ๊ะ มันคือความสุขอยากไปตรงไหนก็ไป จ๊ะไม่กำหนดจุดจบ"
เหมือนมีความติสต์หน่อย ๆ นะ?
"จ๊ะค่อนข้างติสต์ค่ะ อย่างที่เห็นจ๊ะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกงาน จ๊ะเป็นคนชอบความนิ่ง ๆ เรียบ ๆ ง่าย ๆ ชอบสันโดษ เอาจริง ๆ นิสัยจ๊ะพื้นฐานเลยไม่น่าจะเป็นนักแสดงได้ ความเป็นนักแสดงมันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพบปะผู้คน เอาตัวเองออกไปเจอสื่อ แต่ความเป็นตัวตนของจ๊ะไม่ใช่เลย ค่อนข้างห่างไกลจากตรงนั้นมาก แม่ยังบอกว่า เก่งเนอะ อยู่มาได้เกือบ 10 ปีแล้วเนี่ย ก็พยายามปรับอยู่ เข้าใจงานที่ตัวเองต้องทำ แต่บางทีปรับแล้วเหนื่อยมาก ๆ ก็ดึงกลับมาเป็นตัวเองเหมือนกัน"
รักงานบันเทิงมากถึงกับยอมทิ้งสิ่งที่รักอีกอย่างหนึ่งไป งานบันเทิงมันมีเสน่ห์อะไร?
"อย่างเมื่อก่อนจ๊ะเป็นนักบัลเล่ต์ แล้วก็รักการเต้นบัลเล่ต์มาก แล้วมาเจออุบัติเหตุกล้ามเนื้อฉีกทำให้เราไปต่อไม่ได้ จ๊ะก็ถามตัวเองว่า ชีวิตนี้จะทำอะไรเนี่ย สิ่งที่จ๊ะชอบคือเวที ขึ้นไปเต้นแล้วคนดูลุกขึ้นปรบมือ คือมันเป็นความสุขของเราอ่ะ สุดท้ายแล้วการพัฒนาการทุ่มเททุกอย่างมันประสบความสำเร็จในวันนั้น แต่พอถึงวันที่ทำไม่ได้แล้วเนี่ย ก็มานั่งคิดว่าหรือจะไปทางวิชาการ จ๊ะเป็นคนชอบภาษาแต่จะให้มานั่งหมกกับโต๊ะสี่เหลี่ยมมันไม่ใช่จ๊ะอะ ทำไงดี จนกระทั่งมีโอกาสได้มาเล่นละคร มันเหมือนเป็นการเปิดอีกมุมหนึ่งของจ๊ะ เราหาเจอแล้ว หาอะไรที่มาทดแทนความรู้สึกที่มันหายไป แล้วการเข้ามาเป็นนักแสดง มันก็ทำให้เรารู้สึกเติมเต็ม เหมือนเป็นความสุขที่ได้เป็นตัวละครสักตัวที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง สนุกที่จะแก้โจทย์"
เกือบ 10 ปีในวงการบันเทิง มันสอนอะไรเราบ้าง?
"จ๊ะว่าจ๊ะโตขึ้นมากทีเดียว จริง ๆ จ๊ะก็โตอยู่แล้ว เพราะจ๊ะถูกฝึกให้อยู่กับสมาธิมาตั้งแต่เด็ก จ๊ะเรียนบัลเล่ต์มาตั้งแต่ 5 ขวบ สัปดาห์หนึ่งจ๊ะให้เวลาทุ่มเทกับมันเยอะ มันฝึกความมีวินัย ความอดทนมากอยู่แล้ว พอมาตรงนี้มันเป็นอดทนอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่อดทนแค่กับตัวเอง มันจะต้องอดทนกับสิ่งเร้ารอบข้างที่จะเข้ามา อดทนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องเจอ เหมือนเราอยู่ในที่สว่าง รอบข้างเรามันเป็นด้านที่มืดกว่า พออยู่ในที่สว่างก็ต้องทำใจว่า เราจะต้องเจอต้องโดนอะไรที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ตรงนั้นที่สอนให้รู้ว่า จะต้องอดทนและต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ ฝึกจิตตัวเองให้หนักแน่นขึ้น เพราะว่าจ๊ะเป็นคนเซนซิทีฟมาก"
แสดงว่าการเต้นมันฝึกเรามาก ทุกอย่างเริ่มจากการเต้นเลย?
"ใช่ ทุกอย่างเลย เพราะการเต้นเนี่ย มันต้องฝึก เราต้องดัดตัวให้อ่อน อดทนทุกอย่าง อดทนเวลาโดนครูว่า ครูดุ เวลาทำไม่ได้ โดยเฉพาะครูที่มาจากเมืองนอกเนี่ย เขาจะโหด ฝึกวินัยทุกอย่าง เหมือนกับการฝึกนักยิมนาสติกอย่างนั้นเลย มันก็เลยทำให้เราเป็นคนตรงต่อเวลา เป๊ะมาก มีความอดทนสูง บอกตัวเองว่าจะไปถึงจุดที่ยืนอยู่ก็ต้องทน มันก็เหมือนเราฝึกตรงนี้มาตั้งแต่เด็ก คนจะไม่ค่อยเข้าใจการเรียนเต้น คิดว่าแค่เต้น ๆ แต่ที่จ๊ะเรียนคือการเรียนเพื่อเป็นโปรเฟสชั่นแนล เรียนเพื่อจะเป็นอาชีพ ก็เลยต้องฝึกจิตตัวเองให้แข็งพอที่จะสู้กับมันได้"
ณ วันนี้ยังอยากจะทำอะไรที่เกี่ยวกับการเต้นที่เรียนมาไหม?
"หลาย ๆ คนถามว่าเรียนเต้นมาขนาดนี้คิดจะเปิดโรงเรียนไหม คือโรงเรียนสอนเต้นสมัยนี้มันเยอะมาก และถ้าจ๊ะเป็นแม่อยากจะเอาลูกไปเต้น จ๊ะก็คงเลือกโรงเรียนที่เก่าแก่ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่อยากไปแข่ง ทำให้ความคิดในการเปิดโรงเรียนนี่ไม่มี หรือหลาย ๆ คนบอกว่า จ๊ะควรเป็นครู ก็เคยลอง แล้วรู้สึกว่ากลัวจะไปทำลูกเขาตาย เพราะว่าเราเป็นคนดุ คือจ๊ะถูกฝึกมายังไง ก็จะฝึกเด็กอย่างนั้น แล้วกลายเป็นว่า โหดไปไหม เลยคิดว่าจ๊ะไม่เหมาะ มันควรจะใจเย็นกว่านี้ คือเราต้องทำความเข้าใจว่า เด็กทุกคนไม่ได้เป็นแบบเรา เด็กบางคนมีความอดทนมาก บางคนความอดทนน้อย"
โหด ๆ อย่างนี้คนที่เข้ามาจีบไม่กลัวเหรอ?
"ก็มีคนที่บอกว่ากลัว กลัวความนิ่งของจ๊ะ เป็นคนพูดตรง ชัดเจน ถ้าเข้ามาแล้วจ๊ะบอกว่าไม่ ก็คือไม่ ก็พูดเลย จะเป็นประเภทไม่เลี้ยงอะ คือเป็นเพื่อนได้ แต่ถ้าไม่ยอมเป็นเพื่อนเราตัดนะ ถ้าทู่ซี้จะเป็นอย่างอื่นเราก็ไม่เอา ถ้าเขายอมเป็นเพื่อน เราก็จะเป็นเพื่อนที่ดีให้"
ณ วันนี้มีความรักไหม?
"โอ๊ย ณ วันนี้ยังไม่มีเลยค่ะ ยังนิ่งอยู่กับเรื่องนี้พอสมควร ถึงแม้จะโตขนาดนี้ แต่จ๊ะมีความรู้สึกว่า ไม่ไขว่คว้า แล้วก็ไม่ได้ตามหา ไม่ได้วิ่งตาม ปล่อยให้มันเป็นไปตามสเต็ปของชีวิตดีกว่า เพราะจ๊ะรู้สึกว่าช่วงชีวิตของคนเรามันไม่เหมือนกัน บางคนเจอตอนนี้ บางคนอีก 10 ปีถึงจะเจอ จริง ๆ เปิดใจนะ จ๊ะไม่ได้ปิดเลย แต่ช่วงหลัง ๆ ที่คนเข้ามา จ๊ะก็รู้สึกว่า มันไม่ใช่ ด้วยความที่ตอนนี้มันถ่ายละคร 7 วัน เรารู้สึกว่าเหนื่อยพอสมควร กลับมานอนได้แป๊บเดียวก็ต้องตื่นแล้ว เลยรู้สึกว่าจะไปคุยกับใคร จ๊ะว่าการเป็นแฟนสำคัญมากคือต้องมีเวลาที่จะปรับจูนเข้าหากัน เพราะจ๊ะเชื่อว่า ต่อให้ปิ๊ง อินเลิฟกันแทบตาย มันก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี ที่จะเข้ากันได้ มันต้องมีจุดที่เราจะต้องทำความรู้จักทำความเข้าใจ เรียนรู้ทุก ๆ วัน ถ้าเรายังมีตรงนี้ไม่มากพอ จ๊ะว่ามันเสียเวลา"
เห็นบอกว่าเป็นคนวางเป้าสูง กับผู้ชายก็วางเป้าสูงด้วยเหรือเปล่า?
"ไม่นะคะ เรื่องความรักเป็นเรื่องที่จ๊ะปล่อยวางมากที่สุดกว่าทุกเรื่องในชีวิตแล้ว ด้วยความที่ครอบครัวจ๊ะอบอุ่นมาก เลยไม่ได้รู้สึกว่าเราขาด เลยไม่ได้หา ดังนั้นเลยไม่มีสเปกเรื่องหน้าตาอะไรทั้งสิ้น สำหรับจ๊ะคนที่จะรู้สึกดีด้วยต้องมาจากการคุย จ๊ะชอบผู้ชายฉลาด ชอบคนมีอารมณ์ขัน เพราะเวลาอยู่ในโหมดทำงานเราซีเรียส ตรงนี้คือจุดที่ต้องแก้ มุ่งเกิน ทำให้เราเครียดโดยไม่รู้ตัว"
ด้วยความที่ไม่มีใครหรือเปล่า เลยทำให้มีข่าวโดนจับคู่กับพระเอกที่เล่นด้วยตลอด?
"ก็โดนแบบนี้มาตลอด ด้วยความที่ไม่ได้มีใคร หรือที่ผ่านมาถึงมีก็ไม่ได้พูด มันก็อาจจะเป็นเรื่องธรรมดา จ๊ะเข้าใจวงจรของข่าว อย่างข่าวกับพี่หลุยส์ สก็อต ตอนแรกก็รู้สึกเซ็ง คือจ๊ะเล่นกับพี่หลุยส์ 2 เรื่อง มันไม่เห็นแปลกเลยที่จะสนิท ถ้าไม่สนิทสิแปลก แต่ว่าขอบเขตในการสนิทของเราก็มี เรารู้อยู่แล้วว่าอะไรคืออะไร เวลามีข่าวเชื่อไหมว่า ไม่เคยคุยเรื่องข่าวเลย พี่หลุยส์ก็ไม่เคยพูด มันเหมือนรู้กันเอง จ๊ะว่าโดยธรรมชาติของพี่หลุยส์เขาก็ไม่ชอบอะไรที่ต้องมาจุกจิกเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้จ๊ะไม่สบายใจยังไง จ๊ะก็ไม่พูด จ๊ะก็เงียบ ๆ อยู่ในที่ของจ๊ะ ถ้ามันยังเจอกัน เล่นด้วยกันได้ปกติ ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปพูด"
แล้วสนิทกับนุ่น - รมิดา แฟนหลุยส์บ้างไหม?
"ไม่ถึงกับสนิท เพราะไม่ได้เจอกันตลอด คือพี่นุ่นมากองซิกเซ้นส์จริง แต่เขาก็ไม่ได้มาอยู่หน้าเซต เขาก็มานั่งเล่นอะไรของเขา ไม่รู้เหมือนกันว่ามีข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร เพราะว่าจ๊ะกับพี่หลุยส์เล่นกันเหมือนเด็กผู้ชาย จ๊ะว่าเขาไม่ได้มองจ๊ะเป็นเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ เวลาเขาเล่นกับจ๊ะ เขาก็เล่นแรง ๆ เวลานั่งคุยกัน มันเหมือนผู้ชายสองคนคุยกัน คือคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ได้มาแบบแนวทะนุถนอมความรู้สึก เวลามีข่าวนี้อย่างที่บอกตอนแรก เบื่อ ยิ่งข่าวที่ว่าเป็นมือที่สามเนี่ย จะไม่ชอบเลย แต่พอเวลาผ่านไป ก็รู้สึกว่าช่างมันเหอะ เอาเป็นว่าเราสบายใจแล้วก็พอ คือคนรอบข้างรู้ก็พอ ข่าวพวกนี้มันก็สอนให้จ๊ะรู้ว่าจะมานั่งแคร์ทุกคนบนโลกนี้ไม่ได้ เราต้องรู้ว่าคนไหนที่เราจะต้องแคร์ ไปพูดให้รู้ให้เข้าใจ ในที่สุดแล้วเราต้องหันมาแคร์ตัวเองด้วย"
เป้าหมายในชีวิตสูงสุดคืออะไร?
"ตอนนี้สิ่งที่อยากทำทุกวันคือการเป็นนักแสดงที่ดีมาก ๆ ให้ได้ ในแง่ของแอ๊คติ้ง ของบทบาทที่ได้รับ อยากจะถ่ายทอดมันให้ถึงจุดที่ว่าเป็นตัวละครตัวนั้นสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ได้ ซึ่งทุกวันนี้ก็เดินทางหาอยู่ เพราะจ๊ะว่าละครแต่ละเรื่องมันก็ค่อย ๆ ปลูกฝังอะไรหลาย ๆ อย่างในตัวเรา อย่างละคร “พ่อไก่แจ้” ถือว่าเป็นบทบาทใหม่ ที่มีโอกาสได้ทำ เป็นละครที่จะ 10 ปีแล้ว ไม่เคยได้เล่น โวยวาย อาละวาด ปากร้าย จิกกัด สนุกจังเลยอะ มันก็เจออะไรใหม่ ๆ ที่ทำให้จ๊ะรู้สึกว่า สนุก ติดใจ ก็หวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสใหม่ ๆ แปลก ๆ ให้เราได้ลอง จ๊ะไม่ยึดติดและไม่ได้มายด์กับการที่จะต้องเป็นนางเอก จ๊ะรู้สึกว่าละครเรื่องหนึ่งมันมีนักแสดงนำตั้งหลายคน ที่ไม่ได้จำเป็นว่าสุดท้ายแล้วจะต้องลงเอยกับพระเอกของเรื่อง แต่คุณสามารถทำให้ตัวละครตัวหนึ่งกลายเป็นตัวละครที่จับใจคนดู หรือว่าเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนดูได้มากน้อยแค่ไหน โดยที่ไม่ต้องจำเป็นว่ามีคำว่านางเอกนำหน้า จ๊ะเชื่อเหลือเกินว่ามันประสบความสำเร็จได้ จ๊ะก็เหมือนตามหาจุดนี้ของตัวเองอยู่ ได้นั่งคุยกับเธอแล้วต้องบอกว่า ออกรสชาติดีจริง ๆ เธอไม่ได้หวาน นุ่มนิ่ม แต่ก็ไม่ได้แข็งเกินที่จะจับต้องยาก ถ้าได้ทำความรู้จักแล้วจะรู้ว่า “เธอเป็นคนที่มีเป้าหมายและมีความคิดเป็นของตัวเองที่น่าทึ่งจริง ๆ"
“เรื่องความรักเป็นเรื่องที่จ๊ะปล่อยวางมากที่สุดกว่าทุกเรื่องในชีวิตแล้ว ด้วยความที่ครอบครัวจ๊ะอบอุ่นมาก เลยไม่ได้รู้สึกว่า เราขาด เลยไม่ได้หา ดังนั้นเลยไม่มีสเปกเรื่องหน้าตาอะไรทั้งสิ้น”