เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่กระแสมาแรง กับ "อวสานโลกสวย" ที่ได้นางเอกฝีมือขั้นเทพอย่าง "สายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข" มาประกบกับหนุ่ม "เบสท์ ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์" ซึ่งในเรื่องนั้นได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่ง "สายป่าน" ได้เล่าถึงการถ่ายทำ รวมถึงฟีดแบ็คของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า
"ฟีดแบ็คดีนะคะ ถ้าเป็นเกี่ยวกับการแสดงโอเคเลย สำหรับป่านมันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากกับหนังไทยช่วงนี้ ตื่นเต้น ไม่คิดว่าฟีดแบ็คจะดีขนาดนี้อยู่ target เยอะมากกว่า ทั้งวัยรุ่นที่ใช้โซเชียล คนที่ติดตาม คอหนังแนวระทึกขวัญ ก็เลยเป็นที่พูดถึงค่อนข้างเยอะ กลัวคนมองเป็นโรคจิตมั้ย ไม่กลัวค่ะ เพราะว่าถ้าเกิดเป็นคนที่รู้จักป่านจะรู้อยู่แล้วว่าป่านไม่ใช่คนโรคจิต ทำการบ้านเยอะมาก คือมันเกิดจากการที่ตัวละครตัวนี้มันไม่มี reference มาก่อน มันเกิดจากจินตนาการส่วนใหญ่ พูดง่ายๆ มันเป็นการ์ตูนเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการศึกษาหาข้อมูลจาก reference มันแทบไม่มีเลย ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีต้นแบบ ไม่มีไอเดียตอนแรกเลย มันเกิดมาจากการตีความของเรา ถ้าคนที่ไปดูหนังแล้วก็จะเห็นในเรื่องมันมีตัวละคร 2 ตัว คือ ก้อย กับ เกรซ ซึ่งป่านต้องแสดงเป็นทั้งก้อยและเกรซ มันต้องมีปม มีภูมิหลังที่มันค่อนข้างจะชัดเจน การที่ตัวละครชื่อก้อยถูกกระทำ จนเขาเปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นเกรซ เราต้องสร้างให้มัน contrast กันมากๆ สร้างให้มันแตกต่างกัน ดังนั้นป่านทำการบ้านเยอะมาก เรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำ 2 เดือนค่ะ
การทำงานกับ 'เบสท์ ณัฐสิทธิ์' ดีค่ะ น้องเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีมากค่ะ คือเบสท์เป็นรุ่นน้องที่ มศว อยู่แล้วด้วย เคยเจอกันแล้วก็ค่อนข้างสนิทเร็ว เพราะว่าเบสท์ก็เป็นเด็กที่ไม่มี Ego เป็นนักแสดงที่มีความเป็นมืออาชีพ เวลาทำงานเราก็ตั้งใจทำงานด้วยกันทั้งคู่ พอเราเจอพาร์ทเนอร์ที่ทำงานดี ตั้งใจทำงาน เราก็รู้สึกว่าเป็นทีมเวิร์ค สนุก
สิ่งที่ยากที่สุดคือ ตอบโจทย์ของผู้กำกับฯ กับทีมเขียนบท เพราะว่าทุกเรื่องมันท้าทายหมด แต่เรื่องนี้มันพิเศษเพราะเล่นเป็น 2 คาแรคเตอร์ ทำยังไงก็ได้ให้ตัวละครมันแตกต่างกัน ป่านว่ามันท้าทาย แล้วมันต้องลึก เพราะตัวละครที่ชื่อก้อยแทบไม่ได้พูดอะไรเลย คือมันต้องไล่รายละเอียด หนังไม่ได้ถ่ายซีน 1 ไปถึงซีนสุดท้ายอยู่แล้ว มันมีการกระโดดเพราะว่าโลเกชั่นด้วย อะไรอื่นๆ ด้วย เราก็เลยต้องเรียงลำดับในสมองดีๆ ว่าตอนนี้เรากำลังเป็นก้อยหรือเป็นเกรซ เรากำลังทำอะไรอยู่
ตอนนี้ดีแบบ Uncut เพิ่มรอบฉายตอนกลางวัน เพราะคนเยอะแล้วรอบไม่รองรับ เวลาไม่อำนวยด้วย พอโรงหนังเห็นว่าโอเค มีคนต้องการดู บางคนก็เรียกร้องกัน แต่ว่าน่าจะเกิดจากคนดูมากกว่าค่ะ ความสำเร็จของคนทำงานจริงๆ เลยคือการที่เราได้ลองบทใหม่ ท้าทาย เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ พอดีขึ้น ถูกพูดถึงก็โอเค แสดงว่าตอนนั้นเราทำไปเต็มที่แล้ว คือป่านไม่ได้เสียใจ เพราะตอนที่ทำหนังเรื่องนี้ป่านเต็มที่มากกับมันจริงๆ แล้วก็โอเคที่คนดูมองเห็น
กับเรื่องที่มีคนมองว่าเล่นภาพยนตร์ดีกว่าละคร มันต่างกันอยู่แล้วค่ะ โปรดักชั่นก็ต่างกัน ไม่ได้รู้สึกแปลกอยู่แล้ว พอเป็นโปรดักชั่นหนัง budget มันมากกว่า ด้วยฉาก ด้วยอะไรก็ดูเรียลกว่า ดูจริงกว่า การแสดงไม่ต่างค่ะ เพราะว่าป่านเอามาประยุกต์ค่ะ"
ที่มา http://daradaily.com