ข่าว > ข่าวดาราทั้งหมด > ข่าวดาราไทย

"ปรัชญา ปิ่นแก้ว" เอารักมาฝาก ในภาพยนตร์เลิฟสตอรี่เรื่อง "ลูกทุ่งซิกเนเจอร์" วาเลนไทน์นี้ เพลงขึ้นให้รีบรัก

22 ม.ค. 2559 10:18 น. | เปิดอ่าน 1523 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

จุดเริ่มต้น-ที่มาที่ไปของโปรเจกต์เรื่องนี้
โปรเจกต์นี้ผมมีความคิดที่จะทำอยู่ในหัวมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีก่อน จะว่าไปแล้วก็เป็นไอเดียที่มีพร้อมๆ กับที่ผมอยากจะทำเรื่อง "องค์บาก" ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ได้ถ่ายองค์บากเลย โดยส่วนตัวผมเป็นชอบฟังลูกทุ่งมาก บางทีชอบถึงขนาดเปิดฟังในรถ แล้วขับวนไปวนมาอยู่ถนนหน้าบ้าน บางทีเราอินกับมันน่ะ ก็เลยรู้สึกว่า เพลงลูกทุ่งมันมีเสน่ห์อะไรบางอย่างโดยเฉพาะกับความเป็นคนไทย ก็เลยมีไอเดียอยากทำหนังเกี่ยวกับเพลงลูกทุ่งที่เป็นมุมมองของคนเมือง เพราะผมคิดว่ามุมนี้ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง เพราะจริงๆ แล้วคนไทยทุกคนกับเพลงลูกทุ่งมันอยู่คู่กันมาและก็เป็นจิตวิญญาณ

ซึ่งตอนนั้น "คุณศุ บุญเลี้ยง" ที่มีมุมลูกทุ่งเหมือนกัน ก็คุยกันและตั้งชื่อหนังให้ว่า "มนต์รักลูกครึ่ง" เพราะตอนนั้นกระแสลูกครึ่งกำลังมาแรง เลยมีความคิดว่าจะทำหนังลูกทุ่งแต่ใช้ลูกครึ่งเล่นกันทั้งเรื่องเลย ซึ่งเป็นไอเดียอยู่ ณ ตอนนั้น และเก็บไว้ในใจอยู่ตั้งนาน จนมาถึงตอนนี้พอเราเสร็จจากหนังแอ็คชั่น และหาช่วงเบรกจากหนังแอ็คชั่นก็อยากจะลองหาหนังแนวอื่นๆ มาทำดูบ้าง ไอเดียลูกทุ่งอันนี้เลยกลับมา

พัฒนาโปรเจกต์-เรื่องราวอย่างไร
ตั้งแต่ไอเดียแรกตอนนั้น มันเปลี่ยนไปเลยครับ ผมว่าเรื่องราวและเนื้อหามันต้องร่วมสมัยมากขึ้น ส่วนตัวเพลงลูกทุ่ง ยังไงผมก็ยังนึกถึงเพลงลูกทุ่งคลาสสิก ไล่มาตั้งแต่ยุคเก่าๆ แต่เพลงลูกทุ่งที่ผมจะใช้ในเรื่องนี้ต้องมีหลายเพลง และต้องเป็นเพลงที่คนรุ่นใหม่รู้จัก ซึ่งผมก็ดูรายการประกวดร้องเพลงไม่ว่าที่ไหนก็ตามที่มีคนรุ่นใหม่มาร้อง มีเพลงอะไรที่เขานิยมเอามาร้องกันบ้าง ซึ่งนั่นคือเพลงที่ผมอยากให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักด้วย

การคิดเรื่อง-เขียนบท พี่ปรัชมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน
ผมเป็นคนคิดเรื่องเองทั้งหมด ไอเดียและภาพจะอยู่ในหัวผมอยู่แล้ว แล้วผมก็หาคนเขียนบทมาช่วยเขียนไอเดียต่างๆ ที่ผมเล่าให้ฟัง วิธีการคิดเรื่องเนี่ย บางเรื่องก็ลอยมาเอง บางเรื่องก็มาจากเรื่องจริง ซึ่งหลายเรื่องในนี้ก็เป็นเรื่องจริงที่ผมได้เห็น มีมุมที่มันกระทบความรู้สึกซึ่งมันผสมกับเพลงลูกทุ่งได้ดีก็เลยนำมาผสมกัน

ความหลากหลายของทั้งเรื่องราวและอารมณ์เพลงแบ่งสัดส่วนอย่างไร
ผมมองว่ามันจะเล่าเรื่องเดียวไม่ได้ และพอเป็นหนังเพลง มันก็ต้องมีหลายเพลง และให้ความสำคัญกับเพลงเหล่านั้นโดยที่เล่าเป็นเรื่องใครเรื่องมันไปเลย เสร็จแล้วผมก็มานึกถึงเรื่อง Love Actually ซึ่งเป็นหนังรักโรแมนติกที่หลายๆ คนประทับใจ เป็นหนังที่พูดถึงคู่รักหลายๆ คู่ หลายๆ รูปแบบ ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นรูปแบบที่เหมาะกับโปรเจกต์นี้มากๆ ผมก็เลยไปศึกษาการเล่าเรื่องของเรื่องนี้ ก็จะเห็นว่าเค้าพูดมุมความรักให้ไม่ซ้ำมุมกัน แต่มันแทบไม่ได้เชื่อมตัวละครเลยด้วยซ้ำ ผมว่าเค้าก็เล่าอย่างนั้นก็ทำให้เราสนุกได้ ผมก็เลยคิดว่าวิธีนี้เราต้องทำให้ได้ ก็คือเล่าจากเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกันก็ได้ ให้เรื่องแต่ละเรื่องมันเป็นเรื่องใครเรื่องมัน แล้วก็สมบูรณ์ในแต่ละเรื่องไปเลย

เรื่องเพลงนี่จริงๆ ผมคิดแยกกันเลย คือเรารู้แล้วว่าจะมาทางนี้ ไอ้ตรงเพลงผมเลือกมาก่อนเลยเป็นเพลงลูกทุ่งเก่าที่คนรุ่นใหม่รู้จัก คือพูดง่ายๆ ไปร้านคาราโอเกะแล้วต้องมี หรือเราได้ยินคนรุ่นใหม่นำร้องบ่อยๆ ร้องประกวดอะไรอย่างนี้ ผมก็เลยกรุ๊ปมาเลยว่าเพลงเหล่านี้ผมต้องได้ใช้แน่ๆ เสร็จแล้วผมก็โฟกัสให้มันชัดไปอีกคือ ต้องไม่ใช่เพลงที่พูดถึงท้องไร่ ท้องนา ควายอะไรอย่างนี้ ผมอยากให้เป็นเพลงที่พูดถึงแล้วคนกรุงเทพฯ ก็รู้สึกได้ ก็สัมผัสได้ เพราะฉะนั้นเนื้อหาก็จะเป็นแบบคิดถึงกัน หลงรักกันอะไรอย่างนี้ ผมก็ค่อยๆ โฟกัสให้มันชัดขึ้นๆ จนเหลือประมาณ 20-30 เพลง

หลังจากนั้นตัวเรื่องก็คิดแยกต่างหาก เรื่องนี้รู้สึกยังไง เรื่องนี้สัมผัสใจเรายังไง แล้วค่อยมาดูว่าเรื่องนี้กับเพลงไหนมันเข้ากัน ก็ใช้เวลากับตรงนี้หลายปีอยู่ พูดง่ายๆ คือที่ผมบอกว่า 10 กว่าปีก่อนจนถึงปัจจุบัน ผมก็คิดไม่หยุดตลอดเวลา คือปั้นมัน ผสม ปรับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา

เรื่องราวความรักหลายรูปแบบของตัวละครหลากสีสันที่อยู่รายรอบชีวิตเรา สะท้อนผ่านเพลงลูกทุ่งอันคุ้นเคย
ผมตั้งใจทำหนังเรื่องนี้ให้ออกมาเป็นความรักวาไรตี้ผสมกลิ่นอายเพลงลูกทุ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ทุกเพศวัย มีทั้งอารมณ์รักซาบซึ้ง อบอุ่น ตลก ยิ้มยิ้ม น่ารัก เรียกว่าครบทุกความรู้สึกเลย

"CEOกับสาวเมทห้องน้ำ" เรื่องนี้ผมเชื่อในความรู้สึกและพลังของความรักที่เหลือเชื่อที่เราคงเคยเห็นหลายคู่ที่สถานะทางสังคม เรื่องส่วนตัว ไม่น่าเชื่อว่าสองคนจะมารักกันได้ ผมชอบพลังความรักแบบนี้ เรื่องนี้ผมก็เลยวางเรื่องและคาแรคเตอร์ให้พระเอกเป็นซีอีโอทำงานออฟฟิศหรูอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ส่วนนางเอกก็เป็นเมดห้องน้ำให้มันเหลือเชื่อไปเลย แล้วทำยังไงเค้าถึงรักกันได้ ซึ่งผมว่าก็เป็นไปได้ที่จะเอาเสียงเพลงมาเป็นตัวเชื่อม ความรู้สึกของเรื่องนี้ ผมนึกถึงอารมณ์ของแอนิเมชันสั้นที่ได้ออสการ์เมื่อ 2-3 ปี ก่อนเรื่อง Paperman มันจะเป็นฟิลลิ่งเดียวกันเลย คนทำงานหรือคนเมืองที่กำลังตามหาความรักอยู่ตัวคนเดียว

แคสติ้งของเรื่องนี้ "คุณน้อย กฤษดา" เนี่ยเป็นแคสที่ลอยมาตั้งแต่แรกแล้ว พอพูดถึงซีอีโอแล้ว คุณน้อยนี่หน้าตานอกจากจะเป็นคนเมืองแล้ว ยังไปทางลูกครึ่งฝรั่งๆ อีก มันก็เลยคอนทราสต์กับลูกทุ่งสุดๆ เป็นแคสที่ผมมองว่าใช่มากๆ ส่วนตัวเมดห้องน้ำ ผมอยากได้หน้าใหม่ ซึ่งต้องไม่สวยเกินไป และต้องมาด้วยเสียง ซึ่งมีคนแนะนำ "น้องไข่มุก" ให้ผมได้รู้จัก เพราะน้องไข่มุกเป็นน้องที่ชอบเพลงลูกทุ่งมากแล้วก็ประกวดมาหลายรายการ ตอนั้นยังไม่ประกวด The Voice เลย เค้าเป็นตัวเด่นที่น่าจับตาเลย ณ ตอนนั้น และพอผมเห็นปั๊บใช้เวลาแป๊บเดียวก็ตัดสินใจว่าคนนี้อ่ะใช่ เป็นเมดที่ไม่ได้สวยมาก แต่ตอนนี้กลายเป็นสวยมากแล้ว (หัวเราะ)

เรื่องนี้ผมไม่ต้องการความรักแบบผู้ชายผู้หญิงมากนัก ผมอยากได้ความรักที่มันบริสุทธิ์กว่านั้น ขนาดซีเอโอยังมาผูกพัน ลุ่มหลงในเสียงจนอาจพัฒนาเป็นความรักขึ้นมาก็ได้ แต่ว่าระหว่างคุณน้อยกับน้องไข่มุก มันต้องมีเส้นๆ หนึ่งที่คนดูจะไม่คิดไปไกลเกินนั้น คือดูแล้วจะยิ้มกับรักบริสุทธิ์ ซึ่งผมอยากได้ภาพอย่างนั้น

ตอนนี้มีเพลงประจำเรื่องคือเพลง "เรารอเขาลืม" เป็นเพลงที่คุณสุนารี ราชสีมาร้องไว้ มันฝังอยู่ในหัวผมนานเหมือนกัน แล้วตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่ามันชื่อเพลงอะไร จนต้องฮัมทำนองถามจากคนที่รู้จักเพลงลูกทุ่ง แล้วพอเอามาให้ไข่มุกร้อง ก็เพราะในแบบเสียงหวานใสกังวานของน้องเลย

เรื่อง "หนุ่มสะพานลอย" นี่มันมาจากเรื่องจริงนะ คือมีวันหนึ่งผมได้ดูข่าวจากเมืองจีน เป็นหนุ่มวัยรุ่นที่เขาจะฆ่าตัวตายบนสะพานลอยข้ามถนน ซึ่งในเนื้อข่าวนั้นน่ะ มันอาจจะเหมือนไม่มีอะไรนะ แต่มันน่าสนใจตรงที่ว่า ในระหว่างที่เขาจะฆ่าตัวตาย มีเด็กนักเรียนวัยรุ่นหญิงคนหนึ่ง วิ่งฝ่าฝูงชนฝ่าตำรวจเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น แล้วก็ในข่าวเขารายงานว่า ตอนแรกทุกคนเข้าใจว่าเขาเป็นแฟนกัน แต่พอสังเกตดูอาการในการคุยกันของเขา จับความรู้สึกได้เลยว่า สองคนนี้ไม่รู้จักกันมาก่อน คือแล้วผู้หญิงทำไมวิ่งเข้าไปหา อันนี้คือสิ่งที่ผมสนใจมาก เหมือนประมาณว่าเข้าไปช่วยเหลืออ่ะ เหมือนว่าผู้หญิงคนนี้คงเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายคนนี้ในเรื่องของความรักอกหักประมาณนี้ แล้วผู้หญิงคนนี้แบบว่าฉลาดมากเลยคือโน้มคอผู้ชายคนนี้มาจูบ มันเลยทำให้ตำรวจเข้าไปช่วยได้ เป็นเรื่องที่ผมแบบอึ้ง เป็นข่าวที่ผมดูแล้วมันเป็นเรื่องจริง ผมก็เลยชอบ หลังจากตอนนั้นผู้ชายคนนี้ก็ไม่พูดอะไรเลย พูดอย่างเดียวว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหน อยากเจออีก ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็เป็นผู้หญิงที่ลึกลับแล้วก็หายไปเลยอ่ะ ในข่าวมันมีแค่นี้ ผมแบบอันนี้มันใช่อ่ะ เป็นเรื่องที่ผมต้องเล่าให้ได้ ผมชอบเรื่องนี้ คือมันอาจจะดูไม่มีอะไร แต่ในแง่ความรู้สึกมันได้อ่ะ

แล้วผมก็เลยเลือกเพลง "ความรักเจ้าขา" เรื่องนี้เป็นเพลงที่แบบพูดง่ายๆ ผมว่าคนไม่ค่อยได้ยินหรอก เป็นเพลงที่ ถามว่าฮิตกับคนรุ่นใหม่มั้ย ผมว่าไม่ฮิต แต่ว่าเนื้อเพลงมันใช่ มันถึงความรู้สึกจริงๆ เลย แล้วก็ด้วยแคส "น้องนนท์ The Voice" ลอยมาเลยอ่ะ เพราะผมก็แอบชอบนนท์ตอนดูรายการนี้ นนท์เขาเป็นคนที่ร้องเพลงเพราะจริงๆ และพอให้เขามาร้องเพลงนี้ของคุณรุ่งเพชร แหลมสิงห์ โอ้โฮ น้องนนท์ร้องแบบทุกคนอึ้งเลย เขาร้องเพราะมากๆ เพราะจริงๆ ซึ่งจริงๆ แล้วน้องนนท์เนี่ยตอนที่เขาแข่ง The Voice ยังไม่หล่อนะฮะคือแค่ดูใช้ได้ แต่ปัจจุบันนี้วันที่ผมมาถ่ายหนัง มันโชคดีมากเลย คือ เขาเปลี่ยนเป็นดูหล่อเลย โดยเฉพาะพอเอาแว่นออกนี่ โอ้โฮ หล่อมากๆ เลย

นอกจากน้องนนท์แล้ว ผมก็อยากได้น้องผู้หญิงวัยรุ่นหน้าใหม่เลย แล้วก็ได้ "น้องพลอย ศรนรินทร์" มา ซึ่งตอนนั้น ผมก็กำลังดูแลหนังเรื่อง "อาบัติ" แล้วคุณฝน (ขนิษฐา ขวัญอยู่) ผู้กำกับเขาก็แนะนำให้ผมได้รู้จัก บอกว่าพี่สนใจไหมเนี่ยน้องพลอย ผมก็ โอ้โฮ…ใช่เลย ก็เลยให้น้องพลอยมาเล่น ซึ่งบทก็ไม่ได้เยอะอะไรมากหรอกครับ แต่ว่าด้วยแคส ด้วยความสดของน้องพลอย ความใหม่ของน้องนนท์ มันก็ได้ลงตัว รับผิดชอบเรื่องนี้ได้สมบูรณ์แบบมากๆ

"นายเฉาก๊วยกับสาวหน้าผี" นี่ก็มาจากเรื่องจริงครับ ก็หลายปีมาแล้วผมได้ดูรายการของคุณวิทวัสฮะ เขาก็พาดหัวว่า นายเฉาก๊วยกับสาวหน้าผี ประมาณนี้แหละ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ น่าสนใจมาก อะไรคือนายเฉาก๊วย แล้วผมก็ได้นั่งดูคุณวิทวัสสัมภาษณ์ แล้วก็นายเฉาก๊วยก็เล่าประวัติชีวิตของเขา ตั้งแต่เป็นลูกจ้างผลิตเฉาก๊วยจนออกมาเข็นรถเข็นขายเฉาก๊วยอยู่ย่านหมู่บ้านอิสลาม แล้วก็มาเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่เด็กๆ แถวนั้นชอบล้อว่าสาวหน้าผี สาวหน้าผี ซึ่งเขามารู้ทีหลังว่าที่หน้าของผู้หญิงมีก้อนเนื้อปูดออกมาตรงลูกตาข้างซ้าย จากความที่เขารักด้วยความจริงใจ ไม่รังเกียจผู้หญิง เขาก็เลยได้เป็นแฟนกัน แล้วก็ทางรายการคุณวิทวัสเนี่ยสนใจความรักของสองคนนี้ก็เลยพาผู้หญิงไปทำศัลยกรรม ซึ่งวันที่ผมได้ดูรายการวันนั้นนะฮะ เป็นวันที่ศัลยกรรมเสร็จแล้ว แล้วจะเชิญผู้หญิงมาเปิดแผลเปิดหน้ากลางรายการเลย พร้อมกับให้นายเฉาก๊วยได้ดู ได้เจออะไรประมาณนี้ฮะ ซึ่งดูเหมือนกับปกติแหละครับ แต่ว่ามันมีประโยคๆ หนึ่งที่คุณวิทวัสถามนายเฉาก๊วยว่า คุณคาดหวังที่จะได้เห็นหน้าตาแฟนคุณสวยแค่ไหน ปรากฏว่าเขาตอบมาคำๆ หนึ่ง ผมน้ำตาไหลเลย เขาตอบมาว่า ตอนแรกเขาก็อยากจะเห็นแฟนเขาสวยเหมือนคนอื่น แต่พอมาคิดอีกทีหนึ่ง เขาเปลี่ยนใจละ เขาบอกอย่าสวยเลย ไม่ต้องสวยหรอก เพราะว่าถ้าสวยแล้วกลัวจะเสียเธอไป ซึ่งตรงนี้แววตาของนายเฉาก๊วยนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเขารักและหวงแฟนเขามาก ความรักของสองคนนี้ ดูแล้วแบบน้ำตาไหล แล้วก็อมยิ้มกับความรักของเขา ซึ่งผมก็ชอบและประทับใจ ก็เลยอยากจะพูดถึงความรักของคู่นี้

"คุณกอล์ฟ เบญจพล" เนี่ย ผมแอบสังเกตมาหลายปีแล้วฮะ ผมชอบเขาแสดงดราม่า เขาดราม่าได้กินใจมาก คือ โอเค บางคนอาจจะเห็นภาพเขาตลกๆ แต่ผมชอบดราม่ามากกว่า และผมก็เคยคุยกับคุณกอล์ฟตั้งนานแล้วว่าวันหนึ่งถ้ามีโอกาส อยากทำงานด้วยนะ แต่อยากให้กอล์ฟดราม่าให้ ซึ่งผมก็คิดว่าโปรเจกต์นี้แหละ ซึ่งเป็นบทไหนตอนนั้นผมยังไม่รู้ แต่พอมาตัดใจเลือกว่าจะทำเรื่องนายเฉาก๊วยนี้ ก็ต้องกอล์ฟเลย แล้วก็ตัวผู้หญิงก็ต้องดูดีมากๆ ซึ่งได้ "คุณนุ่น ศิรพันธ์" มาเล่น ผมก็ลำบากใจว่านุ่นต้องมาเล่นแบบมีก้อนเนื้อปูดที่ลูกตา ซึ่งพอเขาทราบเรื่องทราบคอนเซ็ปต์ เขาก็สนใจและก็ท้าทายที่ได้มาดราม่ากับคุณกอล์ฟ มีความรักกัน ซึ่งพอสองคนนี้มาเล่นด้วยกันแล้ว ผมก็ชอบการทำงานแบบว่า ให้เขาเป็นเขา ให้เขาทำการบ้านมาเอง ให้เขานำเสนอ คือคุยให้เขาเข้าใจแล้วเอาเลยทั้งสองคน ซึ่งทั้งคู่ก็ทำการบ้านมาดีมาก ถ่ายกันดีมากๆ ส่วนที่ยากที่สุดคือคุณวิทวัส ผมก็บอกว่า คุณวิทวัส เป็นคุณวิทวัสแหละ เหมือนไม่เคยสัมภาษณ์มาก่อน เหมือนสัมภาษณ์ใหม่เลย ซึ่งคุณวิทวัสใช้เวลาในการปรับตัวพอสมควร เพราะว่าความถนัดอีกแบบหนึ่ง แต่ว่าสุดท้ายทุกอย่างก็ลงตัวหมด ดีมาก

ตอนนี้ได้ "คุณศรเพชร ศรสุพรรณ" มาร้องเพลง "บุพเพสันนิวาส" ให้ด้วย คุณศรเพชรเนี่ย เขาได้ร้องเพลงของศิลปินท่านอื่นมาหลายเพลงแล้ว แต่เพลงนี้ในชีวิตของคุณศรเพชรไม่เคยร้องนะฮะ เป็นครั้งแรกที่เราจะได้ฟังศรเพชร ร้องเพลงบุพเพสันนิวาสนี้กันครับ

เรื่อง "สาวมือระเบิดกับหนุ่มอาร์ต" นี่มันก็มีที่มาจากเรื่องจริงเหมือนกัน คือตอนผมทำหนังแอ็คชั่นไล่มาตั้งแต่เรื่อง "องค์บาก" แล้วก็มา "ต้มยำกุ้ง" เนี่ย ก็มีหลายๆ ครั้งผมจะต้องมีฉากระเบิด ผมก็ต้องใช้ "เฮียเล้ง" มาทำระเบิดให้ ซึ่งคนในวงการจะรู้จักแกดี และผมก็เห็นเฮียเล้งมาพร้อมกับลูกสาว ซึ่งลูกสาวตอนนั้นกำลังเป็นวัยรุ่น ผมก็เห็นลูกสาวเฮียเล้งมาช่วยพ่อวางระเบิด ขุดดิน ใส่ดินปืน เดินสายไฟ ทำแบบแคล่วคล่องมาก คือเป็นภาพที่ผมสนใจ นั่งมองการทำงาน คือ ผู้หญิงที่วางระเบิดมันเป็นภาพที่แปลกดี แล้วการวางระเบิด อุปกรณ์สมัยก่อนก็ไม่ได้เหมือนสมัยนี้ คือมันต้อง Manual มากเลย เอาตะปูมาตอกๆ ใส่ไม้แล้วเอาทองแดงมาพันๆๆ แล้วตะปูอีกตัวหนึ่งพันสายไฟมาขั้วบวกขั้วลบ แล้วก็ระเบิดกันตูมๆๆ อะไรอย่างนี้ ผมเห็นแล้วก็แบบสนใจคาแรคเตอร์เหล่านี้ บางทีคาแรคเตอร์คนเรามันสร้างเรื่องราวได้ ก็เลยพยายามผูกเรื่องราวขึ้นมาให้เกิดความรักในกองถ่ายระหว่างหนุ่มอาร์ตหน้าใหม่กับสาวมือวางระเบิดครับ

ซึ่งก็ได้ "น้องกาย นวพล" มาเล่น หน้าตาก็ไปทางลูกครึ่งนิดๆ ส่วน "น้องจอย พัชรี" นางเอกนี่ผมหาอยู่นานนะฮะ อยากได้ผู้หญิงที่ต้องดูแล้วเชื่อว่าเขาวางระเบิดเป็น ตอนนั้นก็มีคนแนะนำจอยให้รู้จัก ช่วงนั้นเขาได้เล่นโฆษณาตัวหนึ่งพอดี เป็นเด็กที่อยู่กับพ่อเป็นใบ้ที่มีดราม่ากันน่ะ คราวนี้ถึงตัวละครเฮียเล้ง ก็เลือกอยู่หลายคนว่าจะเอาใคร สุดท้ายก็เลยนึกถึงว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เอาคุณพ่อที่เล่นเป็นใบ้ในโฆษณาตัวนั้นกับน้องจอยมาเป็นคู่เลย เขาเคยเล่นด้วยกันมาแล้ว ผมก็เออ ดีมากเลย ก็เอามา คราวนี้ปัญหาก็คือคุณพ่อที่เล่นโฆษณาตัวนั้นเขาเป็นใบ้จริงๆ ผมก็อ้าวเหรอ ทำไงดี ในบทเฮียเล้งต้องพูดด้วย ผมก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนให้เฮียเล้งเป็นใบ้ ผมว่ามันน่าสนใจขึ้น มันมีมิติขึ้นเยอะเลย มือระเบิดเป็นใบ้ มันลงตัว แล้วก็ใส่เรื่องราวให้มันเกิดขึ้น

ในส่วนของเพลงเรื่องนี้จะพิเศษกว่าเรื่องอื่นตรงที่ว่าตัวละครไม่ได้ร้องเพลง แต่ว่าในความรู้สึกจะต้องมีเพลงมาซัพพอร์ตจริงๆ ผมเลยคิดว่าจะต้องมีตัวละครอื่นมาร้องให้ เป็นการเชื่อมเรื่องอีกแบบหนึ่ง เป็นตัวละครอื่นจากเรื่องราวอื่นมาร้องให้ ซึ่งก็คือเพลง "บอกรักฝากใจ" ซึ่งได้ "เบน ชลาทิศ" มาร้องให้ ซึ่งเป็นเพลงฮิตนะครับ ฮิตมากๆ สำหรับคนรุ่นใหม่ หลายคนเอามาร้อง แล้วก็เวลาคุณ search ดูใน YouTube นะฮะ "บอกรักฝากใจ" คุณจะเห็นเลยว่าใครๆ ก็ร้อง นักร้อง ดารงดาราเอามาร้องหมดเลย ซึ่งเป็นเพลงที่อยู่ในใจของคนลูกทุ่ง แล้วเนื้อหาก็น่ารักมาก คือรักเขาแต่ไม่กล้าบอก ก็แค่บอกว่ามีคนฝากมาบอกนะอะไรอย่างนี้ ซึ่งเหมาะกับเรื่องนี้มากๆ ครับ

เรื่อง "ซุป’ตาร์สัมผัสทุ่ง"  จะว่าไปก็มีส่วนจริงเกิดขึ้นอยู่ คือตั้งแต่ตอนผมทำงานอยู่ RS นะฮะ ผมทำมิวสิควิดีโอของคุณทัช ณ ตะกั่วทุ่ง มาตั้งแต่อัลบั้มแรกคือ สัมผัสทัช แล้วหลังจากนั้นก็เป็นทัชนู่นทัชนี่ สัมผัสมาทางเทคโนโลยี มาทางแดนซ์ มาทางป๊อป อิเล็กทรอนิคผสมกันไปงี้เลย แล้วอยู่มาวันหนึ่งเพื่อการตลาด ทัชจะต้องมาร้องเพลงลูกทุ่ง แล้วชื่ออัลบั้มว่า "ทัชสัมผัสทุ่ง" ผมก็เห็นว่าเออ...อันนี้คือสัจธรรรม นี่คือธุรกิจนะ ตัวตนของเขากับความเป็น คือมันคนละเรื่องเลย มาแดนซ์แล้วมากลายเป็นลูกทุ่ง ก็แค่มุมนี้ละฮะที่มันทำให้เกิดแรงบันดาลใจ เพราะว่ามันเหมาะกับการที่ผมจะมาพูดเรื่องลูกทุ่งว่า จริงๆ แล้วลูกทุ่งกับเพลงแนวอื่นๆ อะไรเนี่ย มันมีคุณค่าไม่ต่างกันจริงๆ มันมีคำคมคำหนึ่งที่พี่ประภาสเขียนไว้นานแล้ว ผมชอบมากๆเลย เขาพูดถึงวงการเพลง เพลงประเภทต่างๆ เขาบอกว่า "คลาสสิกอย่าดูถูกแจ๊ส แจ๊สอย่าดูแคลนป๊อป ป๊อปก็อย่ารังเกียจลูกทุ่ง ลูกทุ่งเองก็อย่ารังงอนหมอลำ หมอลำก็อย่าไปคิดว่าคลาสสิกมันสูงส่ง" ซึ่งประโยคคำคมนี้มันใช่เลย แล้วมันเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ผมจะมาพูดในหนังเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นตัวละครในเรื่อง "ซุป’ตาร์สัมผัสทุ่ง" เนี่ย จะต้องเป็นนักร้องเพลงป๊อปแดนซ์ที่วันหนึ่งการตลาด จากเศรษฐกิจที่มันเปลี่ยนไป แล้วก็ความดังของเขามันเปลี่ยนไป ค่ายเพลงจะต้องให้เขาไปทำอัลบั้มลูกทุ่ง ซึ่งนักร้องคนนี้จะต้องเป็นคนที่แบบว่า ไม่มีความเป็นลูกทุ่ง แล้วก็ไม่ได้คิดว่าชีวิตเขาจะต้องไปเกี่ยวกับลูกทุ่ง ผมอยากเล่าให้ตัวละครในเรื่องนี้แทบจะเป็นแก่นของหนังเรื่องนี้เลยว่า จากคนที่ไม่รู้จักลูกทุ่ง แล้วไปสัมผัสลูกทุ่ง อะไรทำให้เขาเปลี่ยน อะไรทำให้เขาเข้าใจ แล้วก็เขาได้เรียนรู้อะไรกับความเป็นลูกทุ่ง แล้วก็ใช่มากเลย ผมก็คิดอยู่นานจะเอาใครมาเล่น แต่ผมว่าตัวจริงเขาต้องเป็นนักร้องด้วย ไม่ควรเอาดารามาเล่น ควรจะเป็นนักร้องตัวจริง ถ้าจะให้ดีต้องเป็นนักร้องที่ไม่ใช่ลูกทุ่งด้วยเลย ก็คิดอยู่นาน เลือกอยู่หลายครั้ง ช่วงนั้น "คุณเบน ชลาทิศ" เขากำลังโด่งดังขึ้นมาเลย เป็นที่รู้จักมากขึ้น ถ้าไม่ ผมไม่ได้นึกถึงเขาเลยตอนแรก แล้วพอจังหวะอีท่าไหนไม่รู้ พอชื่อเขาลอยขึ้นมา ใช่เลย ใช่สุดๆ เลย คือพอเขายินดีรับเล่น ผมแทบจะกราบเขาเลย เพราะว่าตอนนั้นต้องเขาเท่านั้นเลยครับ

อย่างที่ผมว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นตัวละครที่เหมือนเป็นตัวแทนคนดูส่วนใหญ่ที่จะเข้าไปสู่วงการเพลงลูกทุ่ง คนที่ไม่รู้จักลูกทุ่ง จะได้รู้จักผ่านตัวละครของเบน แล้วผมก็อยากได้ครูเพลงมาแสดง เป็นช่วงที่เขาทำงานด้วยกันจะเกิดการแลกเปลี่ยนกัน เกิดการซึมซับซึ่งกันและกัน ผมว่า "ครูสลา คุณวุฒิ" ก็น่าจะเป็นครูเพลงที่รุ่นใหม่รู้จักแล้วก็น่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดี ผมต้องการความขลังของลูกทุ่ง แต่ไม่ใช่ว่าดูซีเรียสเกินไป ครูสลานี่ผมว่าเป็นกลางๆ ดี แล้วก็ส่วนตัวแม่ของลูกทุ่งเนี่ย มันต้องมี Featuring กัน ซึ่งเราก็เห็นว่า บางทีเราเห็นค่ายเพลงแกรมมี่บ้าง อาร์เอสบ้าง บางทีก็เอาศิลปินป๊อปมา Featuring คู่กับลูกทุ่งหญิงชื่อดัง แล้วก็ได้เพลงฮิตๆ มาหลายเพลงเลย ผมก็เลยน่าจะมาทางนี้ ก็ได้ "คุณอาภาพร นครสวรรค์" เพราะว่าคุณอาภาพรกับเบนเขาก็น่าจะเหมาะกันดีฮะ แล้วเพลงที่เลือกใช้ก็เหมือนเป็นเพลงชาติของลูกทุ่งเหมือนกัน ก็คือ "ทำบุญร่วมชาติ" เพลงนี้พอพูดปุ๊บ ใครๆ ก็ เด็กรุ่นใหม่ก็รู้จักครับ

เรื่องต่อไป "ไหนว่าไม่ลืม" นี่จริงๆ แล้วเรื่องนี้ผมว่าค่อนไปทางเพลงมาก่อน เพราะเพลง "ลืมไม่ลง" เป็นเพลงฮิตของครูสุรพล สมบัติเจริญ แล้วก็มีอีกเพลงหนี่งคือเพลง "ไหนว่าไม่ลืม" ของแม่ผ่องศรี วรนุชนะครับ เป็นร้องแก้กัน จากเนื้อเพลงมันทำให้ผมนึกถึงความรักที่แบบว่า มันต้องผ่านเวลามามากๆ ก็เหมาะกับมุมความรักของคนที่สูงอายุหน่อยนะครับ คือผมเชื่อในความรักนี่มันอยู่กับมนุษย์จนวันตาย ไม่ว่าอายุจะแค่ไหนก็ตาม ความรักมันยังมีอยู่ในใจเขา ก็เลยอยากจะพูดถึงความรักที่มันฝังใจเขามาตั้งแต่ตอนวัยรุ่น แล้วมันเป็นความรักที่เขาไม่ลืม แต่วันที่เขามาเจอกันเนี่ย มันมีโรคลืมเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วก็อยากจะเล่าเรื่องคนแก่ 2 คนที่หายกันไปนานแล้วมาเจอกันโดยบังเอิญ แล้วในขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์ แล้วเขาจะรำลึกกันยังไง เรื่องนี้ผมคิดโครงไว้คร่าวๆ แล้วก็ให้ "คุณฝน ขนิษฐา" (ผู้กำกับ "อาปัติ") มาเขียนบทให้ ถือว่าเป็นเรื่องที่คุณฝนใส่เรื่องผสมเข้ามาให้ผมมากเลย แล้วก็แทบจะเป็นเรื่องใหม่เลย แล้วคุณฝนเขียนไว้ดีมากแต่ค่อนข้างยาว เพราะไม่ได้เบรกตัวเอง ยาวมากเราก็เลยต้องทอนลง แต่ว่าหลายคนอ่านแล้วชอบมาก

ซึ่งเรื่องนี้ผมมองว่าต้องเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ที่อายุเยอะแล้ว แต่ร้องเพลงได้ ซึ่ง "พี่แอ๊ด-สมบัติ เมทะนี" แล้วก็ "คุณพิศมัย วิไลศักดิ์" ทั้งสองท่านนี้ร้องเพลงเพราะมากนะฮะ แต่ว่าผมไม่เคยเห็นคุณสมบัติร้องเพลงลูกทุ่ง แล้วผมก็ คุณพิสมัยผมก็ไม่เคยได้ยินท่านร้องเพลงมาก่อนเหมือนกัน และก็การร้องของสองท่านนี้ ผมไม่ต้องการให้ร้องเพราะนะ ผมต้องการให้ร้องด้วยความรู้สึก แล้วดีมาก ฟังแล้วก็ โอ้โห...ชอบมากๆ ครับ

เรื่อง "แต่งงานกันเถอะ" นี่เป็นเพลงมาก่อนเลย ผมชอบเพลงนี้มาก เพลง "แต่งงานกันเถอะ" นี้ต้นฉบับร้องโดยคุณจันทร์จวง ดวงจันทร์ น้องสาวของคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ ผมชอบเพลงนี้มาก มันอยู่ใน iPod ผมจนปัจจุบันนี้มันก็ยังอยู่ใน iPhone อยู่ใน iPad ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมต้องมีเพลงนี้ ผมบอกตัวเองไว้ แต่ว่าเป็นเรื่องที่ผมคิดได้ท้ายสุดเลยว่าเรื่องจะเป็นยังไง จริงๆ แล้วตัวเนื้อหาเพลงมันบอกอยู่แล้ว มันง่ายมากเลย แค่ผู้หญิงหลงรักผู้ชายแล้วก็อยากจะแต่งงานกับเขา แต่คงเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงคนนี้เอื้อมไม่ถึง ประมาณอย่างนั้น จะว่าไปเรื่องนี้ก็เหมือนกันคือ ผู้ชายเรื่องนี้ค่อนข้างจะสูง ผู้หญิงก็ต่ำกว่า เหมือนกัน เหมือนกับตอนคุณน้อยกับไข่มุก แต่ว่าเรื่องนี้มันมีอีกเพลงหนึ่งที่ผมบอกตัวเองเหมือนกันว่าจะต้องมีเพลงนี้ ก็คือเพลง "ขอจองในใจ" คราวนี้หลังจากที่ผมคิดเรื่องอื่นเสร็จหมดแล้วเนี่ย ผมว่าต้องมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องมี 2 เพลงนี้แหละ พอเริ่มต้นจากสองเพลงนี้ปั๊บ มันก็เลยคิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้เลย

อันนี้ต้องขอบคุณ "คุณธงชัย ประสงค์สันติ" ด้วย ผมก็ชอบนั่งคุยกัน เล่าไอเดียให้ฟังว่าอยากทำอะไรอย่างนี้ ตอนแรกผมคิดเป็นเรื่องความรักของสาวเซเว่นเจอผู้ชายที่มากลางดึก ทุกตีสามจะต้องมาซื้อของแล้วเกิดความรัก แต่สุดท้ายคุณธงชัยเขาให้ไอเดียมาอันหนึ่ง เป็นแบบผู้หญิงทำงานที่รถไฟฟ้าแล้วก็ก่อนกลับบ้านชอบไปแวะร้านคาราโอเกะ เป็นผู้หญิงติดดินที่มีความฝัน รักผู้ชายที่ระดับซูเปอร์สตาร์ดาราดัง ผมก็คิดต่อจากอันนี้เลยคือเป็นเรื่องของพนักงานเฝ้าเส้นเหลือง-ดูแลความปลอดภัยบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสนะฮะ แล้วก็ยังเป็นโสดอยู่ คืออายุแบบเลขสามแล้วแต่ยังไม่มีแฟน ซึ่งความฝันของเธอคือ ซูเปอร์สตาร์บนป้ายโฆษณาคนนั้นคือคนที่เธอหลงรัก ทำงานไปมองป้ายไปแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว แต่พอมีข่าวว่าดาราคนนี้แต่งงาน เธอก็เสียใจ ไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิตเลย จนอยู่มาวันหนึ่งก็เหมือนมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอะไรอย่างนี้
    
ตอนนั้นก็มีคนแนะนำผมเหมือนกันว่ามีนักร้อง AF อยู่คนหนึ่ง เป็นผู้หญิงหน้าตารุ่นใหม่เลยแต่ร้องลูกทุ่ง ผมก็ชอบตรงที่เขามีความเป็นลูกทุ่งอยู่แล้ว แล้วเป็นนักร้องอยู่แล้ว แล้วเป็นรุ่นใหม่ แล้วก็ได้รู้จักกับ "หนิม คนึงพิมพ์" แล้วด้วยคาแรคเตอร์ ด้วยวัยก็ตรงเลยครับ ผมใช้เวลาตัดสินใจแป๊บเดียวเองว่า นี่แหละเอาหนิมเลย แล้วก็ทาบทามมาเล่น แล้วก็เกิดเรื่องบังเอิญที่เหลือเชื่อเหมือนกันก็คือ ตอนผมหาข้อมูลของหนิมก็เจอตอนเขาออดิชั่นช่วงต้นๆ นะ เขาใช้ 2 เพลงนี้เลยคือ เพลงแต่งงานกันเถอะ กับ ขอจองในใจ  ผมว่านี่แหละ เขาคงเกิดมาเพื่อบทนี้ อันนี้แอบคิดไปเอง ส่วนบทพระเอกก็ได้ "คุณชาคริต แย้มนาม" มาเล่น แล้วก็ต้องขอบคุณชาคริตมากเลยที่ให้เอาเรื่องส่วนตัวของเขามาเล่นในหนัง ก็คือภาพข่าวการแต่งงานของชาคริตกับวุ้นเส้นนะครับ ก็ฉากเพลงแต่งงานกันเถอะ มันเกิดขึ้นในร้านลาบคาราโอเกะนะฮะ แต่ว่าผมมองว่าตัวละครตัวนี้เขาเพ้อฝันน่ะ แล้วฝันใหญ่มาก ผมก็เลยทำฉากนี้ให้มันดูเป็นเหมือนมิวสิควิดีโอ เหมือนหนังอินเดีย มีความรู้สึกอย่างนั้น ทุกคนในร้านมาเต้นให้เขาได้เลย อาจจะเหนือจริงหน่อยหนึ่ง แต่มันก็คือความฝันของเขา

เรื่อง "ล่องเรือหารัก" กับ "ร้องไห้กับเดือน" สองเพลงนี้ก็เป็นเพลงชาติลูกทุ่งเลย แม้เพลงชาติมันเยอะ ไม่รู้สิ ผมว่าถ้าเป็นคนที่ชอบลูกทุ่ง พอพูดว่า "ล่องเรือหารัก, ร้องไห้กับเดือน" ก็จะต้องอ๋อ ใช่เลย คืออย่างที่ผมเล่าว่า โปรเจกต์นี้ผมมีมานานแล้ว แล้วมีศิลปินท่านหนึ่งคือ "คุณศุ บุญเลี้ยง" ก็เป็นเพื่อนกัน คุยกันเรื่อยๆ เลย แล้วเขาก็อินกับไอเดียเรื่องนี้ แล้วเขาก็เป็นที่ปรึกษา ถึงเขาจะไม่ได้มานั่งทำด้วยกัน แต่ความคิดเขาก็สำคัญมากๆ ก็ผ่านไปหลายปี ผมยังไม่ทำเรื่องนี้ซักที มีวันหนึ่งเจอคุณศุ เขาบอกปรัชญาไอ้ไอเดีย "มนต์รักลูกครึ่ง" น่ะ ทำได้แล้วนะ ผมรู้สึกว่า เออ ใช่ ต้องขอบคุณเขามากเลยที่เตือนสติ แล้วผมก็รื้อกลับมาทำใหม่ แล้วก็มีความรู้สึกว่าเหมือนเป็นเพื่อนกัน ก็อยากให้เขามีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ อยากให้คุณศุ บุญเลี้ยงมาร้องเพลง เพราะว่าเขาก็เป็นศิลปินอยู่แล้ว แล้วก็มี "เพลงอิ่มอุ่น" ที่เป็นเพลงที่อยู่ในความรู้สึก อยู่ในใจของคนไทยทุกคน วันแม่เพลงอิ่มอุ่นก็จะต้องลอยออกมา ผมก็เลยอยากได้ความรู้สึกแบบอิ่มอุ่นที่เขาร้อง แล้วคุณศุเองก็เป็นคนแนะนำผมเลยว่า อย่าลืมเพลงนี้นะ "ล่องเรือหารัก" ซึ่งผมก็เลยให้คุณศุมาร้องเพลงนี้ซะเลย เหมือนเป็นรับเชิญนะฮะ คือหนังเรื่องนี้บางทีผมรู้สึกเหมือนเราไปดูคอนเสิร์ตที่รวมศิลปิน แล้วก็บางทีศิลปินบางท่านก็อาจถูกเชิญมาในช่วงเวลาสั้นๆ มาร้องเพลงเพลงเดียว แล้วก็แต่ละเรื่องแต่ละเพลงที่เขาจะร้องมันก็มีเรื่องราว แล้วก็มีบอกความรู้สึกอะไรบางอย่างใส่เข้าไปในหนัง หรืออาจจะมีความส่วนตัวอะไรลงไปในหนัง ผมก็เลยมองตอนของคุณศุ บุญเลี้ยงเป็นตอนที่เหมือนภาคผนวก เหมือนไม่เกี่ยว แต่ว่าแถมเข้ามา อาจจะเหมาะกับอยู่ไตเติ้ลหรือแทรกอะไรก็ได้ ผมรู้สึกอย่างนั้น ก็เลยวางเรื่องราวว่าให้เป็นชีวิตจริงของคุณศุเลยที่มีวันหนึ่งเราก็เห็นเขาร้องเพลงเล่นอะคูเลเล่ เขาเป็นศิลปินคนแรกๆ นะที่ใช้อะคูเลเล่ แล้วเขาก็นั่งอยู่บนเรือมีคนพายให้ แล้วก็ร้องเพลงล่องเรือหารักไป เนื้อหาของเพลงนี้ มันพูดถึงผู้ชายที่ตามหาผู้หญิงที่ถูกใจที่ดีที่สุดของเขาสักคนหนึ่ง แล้วก็ล่องไปสองข้างทาง มีความรู้สึกเหมือนเขาร้องเพลงจีบผู้หญิงสองข้างทาง ซึ่งจริงๆ คาแรคเตอร์ของเขาก็เป็นขวัญใจของสาวๆ ฮะ โดยเฉพาะในยุคเฉลียงนะฮะ ปัจจุบันแม้เขาอายุเยอะแล้ว แต่เสน่ห์เขายังมีอยู่ แล้วมันน่ารักดี เขาเป็นคนที่เวลายิ้มแล้วซื่อ เขาไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้ เพราะฉะนั้นตอนที่เขาร้องเพลง เนื้อหาอาจจะเหมือนเจ้าชู้หรือเปล่า เอ๊ะ...จีบเต็มไปหมด แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ผมอยากให้มันรู้สึกเหมือนมันไม่มีเรื่องแต่มันมีโมเม้นท์ ความรู้สึกแล้วมันคือฟังเพลงเพราะๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แล้วคุณศุเขาก็ร้องได้เพราะมาก

"ร้องไห้กับเดือน" นี่คือตอนระหว่างที่ผมต้อง Search บ่อยก่อนที่จะทำโปรเจกต์นี้ แล้วทำให้ผมได้ไปเจอศิลปินอีกคนหนึ่งที่ผมเห็นเขาแอบมาร้องเพลงลูกทุ่งไว้ใน YouTube เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ใช่นักร้องลูกทุ่งนั่นคือ "คุณสุเมธ องอาจ" เขาจะแอบร้องไว้ส่วนตัว เพราะฉะนั้นถามว่าคุณเคยได้ยินคุณสุเมธร้องเพลงลูกทุ่งมั้ย บางคนอาจจะเห็นใน YouTube แต่ถ้าบางคนไม่ได้เห็น ผมก็เลยชวนคุณสุเมธมาทำงานเรื่องนี้ แล้วก็ให้เขารับผิดชอบในการดูแลทุกคนที่จะร้องเพลงในหนังเรื่องนี้ เพราะทุกคนต้องร้องเพลงลูกทุ่ง แล้วหลายคนนี่ไม่ใช่คนลูกทุ่ง ผมเลยอยากเอาความรู้สึกที่คุณสุเมธที่เขารู้สึกกับเพลงลูกทุ่งเนี่ย เอาความจริงใจจากลูกทุ่งของเขาใส่เข้าไป ก็เลยเชิญคุณสุเมธมาทำงานตรงนี้ แล้วก็ให้เขาร้องด้วย เพราะจะว่าไปผมเองเห็นคุณสุเมธร้องเพลง “ล่องเรือหารัก” ไว้ได้เพราะมากๆ แต่ว่าเพลงนี้คุณศุ บุญเลี้ยงเป็นคนแนะนำ ผมก็เลยให้คุณศุเขาร้อง แล้วก็เอา "ร้องไห้กับเดือน" ซึ่งจริงๆ คุณศุ บุญเลี้ยงเคยร้องเพลงร้องนี้ในอัลบั้มฯ มาแล้ว ผมก็เลยอ่ะ สลับกันร้องไปเลย แล้วก็ผูกเรื่องผูกราวให้คุณสุเมธเขาแสดงด้วยร้องด้วยอะไรประมาณนี้

เบื้องหลังการทำเพลง
ก็คือจะเอาเพลงมาทำใหม่ แล้วก็เหมือนว่าหนังเรื่องนี้เป็นลูกทุ่งสำหรับให้คนกรุงรับได้ด้วย ไม่ใช่แค่ลูกทุ่งสำหรับคนลูกทุ่ง แต่เป็นลูกทุ่งสำหรับคนไทย ดังนั้นคนไทยมีทั้งคนในเมืองคนนอกเมือง ผมว่าจะทำให้คนเมืองรับให้ได้ คนลูกทุ่งหรือคนนอกเมืองรับได้อยู่แล้ว เพราะว่าเราเลือกจากเพลงฮิตมาใช้

แล้วก็หลังจากได้คุยกับคุณสุเมธว่าโจทย์ของผมเป็นอย่างนี้ จะทำหนังอย่างนี้ คุณสุเมธก็ทันทีเลยครับ เขาก็มีใจให้ลูกทุ่งเยอะอยู่แล้ว แล้วเขาแบบผมว่าเขาสนุกกับงานนี้ด้วยกัน ผมก็เต็มที่เลย เพราะผมก็ไม่ได้รู้เรื่องเพลงมาก ผมก็เออ คุณสุเมธว่ายังไง คุณสุเมธก็บอกว่าบางคนควรเบาๆ ไม่ใช่โฉ่งฉ่าง แล้วก็หลายๆ เพลงก็ไม่ใช่เพลงเร็ว แต่เป็นเพลงรักและกินใจ แล้วก็ใช้เนื้อหามันในการเข้าถึงคนดู การเขียนเนื้อของลูกทุ่งมันไม่เหมือนเพลงสตริง มันซื่อ มันใช่ และเวลามันตรงเข้าไปในใจ มันตรงลึกเลย โดยเฉพาะความเป็นคนไทย เพราะฉะนั้นคุณสุเมธเขาเริ่มจากการใช้กีตาร์เป็นตัวเกลาเบาๆ ในการทำเพลงทุกเพลง แล้วเป็นการคุมจังหวะเพื่อจะให้ศิลปินได้มาร้องก่อน แล้วผมก็มาถ่ายหนัง แล้วหลังจากเราตัดต่อเสร็จแล้วเนี่ย ผมถึงจะทำพาร์ตดนตรีใส่เข้าไปทีหลัง ให้คนทำดนตรีเขาได้เห็นหนังทั้งเรื่อง แล้วค่อยมาว่าดนตรีตรงนี้ควรจะเป็นยังไง แล้วก็บวกกับว่า ปกติแล้วเวลาหนังหนึ่งเรื่องจะมีเพลงใส่เข้าไปในหนังเนี่ย โดยทั่วไปเวลาเราไปซื้อเพลงมา เพลงก็จะต้องถูกการทำจนเสร็จแล้วหรือมิกซ์เรียบร้อยแล้วถึงใส่เข้าไปในหนัง แต่ทีนี้ภาพยนตร์เกิดการมิกซ์เสียงของงานเพลง มันมิกซ์คนละแบบ ก็คือการแยกช่องเสียงมันมีมิติมากกว่าเพลง เพลงส่วนใหญ่เป็นสเตอริโอ นานๆ ทีจะเป็นเซอร์ราวด์ออกมาสักทีหนึ่ง แต่ว่าของภาพยนตร์นี่เป็นเซอร์ราวด์แบบตอนนี้ไปถึง Atmos แล้ว และก็มีเป็น 7.1 หรือ 9.1 ไปแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะใช้กี่ช่องเสียง ผมก็เลยอยากมิกซ์เพลงในหนังเรื่องนี้เป็นแบบภาพยนตร์ ก็คือให้คนทำเพลงเนี่ย แยกดนตรี ก็คืออย่าเพิ่งมิกซ์ เรามามิกซ์ในห้องมิกซ์ภาพยนตร์ประมาณนี้ เพราะเราอยากให้คนดูหนัง ฟังเพลงแล้วมันมีความไพเราะมากกว่าการไปฟังเพลงที่อื่น ซึ่งในหนังไทยผมไม่เคยเห็น ผมว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแรกเลยนะ

การกำกับเรื่องนี้ถือว่าผ่อนคลายขึ้นเยอะ
ครับ มีความสุขมากๆ อาจจะเป็นเพราะถ้าเทียบกับพวกหนังแอ็คชั่น มันเป็นหนังที่ทำยากกว่าปกติ คือมันต้องมีฉากนู้นฉากนี้ที่จะต้องใช้ทีมงานเชี่ยวชาญหลายๆ ทางมาประกอบกัน ซึ่งมันเป็นสเกลที่ใหญ่มาก พอมาทำหนังเรื่องนี้ เหมือนผมได้ไปพักผ่อนน่ะ บางทีเหมือนแบบนี่ถ่ายเสร็จแล้วเหรอ เพราะปกติหนังแอ็คชั่นที่ผมถ่ายบางทีน้อยสุด 60 คิว มากสุดก็ 120 คิวถ่ายทำ แต่เรื่องนี้ผมใช้ 18 หรือ 20 คิวแค่นั้นเอง ผมถ่ายหนังแอ็คชั่นบางทีฉากหนึ่ง 20 คิว ผมได้แอ็คชั่นแค่ฉากเดียว แต่นี่ผมได้หนังทั้งเรื่อง แล้วก็ถ่ายแบบไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องกลัวใครเป็นอันตราย ผมมาโฟกัสแต่เรื่องความรู้สึก แล้วเราเป็นคนชอบฟังเพลงลูกทุ่งอยู่แล้ว มันเลยอิน อินแบบมีความสุขมากๆ เป็นเรื่องที่ผมนอนตายตาหลับไปอีกอันหนึ่งแล้วเพราะได้ทำไปแล้ว

ความประทับใจในการทำเรื่องนี้
ทุกวันลยนะ ทุกวันที่ผมออกไปถ่าย ผมมีความสุขมากๆ เลย เอาตั้งแต่ถ่ายตอนคุณน้อยก่อนใครเลย คือผมก็แอบลุ้นว่าคุณน้อยเขาอินกับเพลงลูกทุ่งแค่ไหน เขาไม่ได้อินนะแต่เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่ในเรื่องนี้เขาไม่ได้มาร้องเพลง แต่การแสดงเขาคือต้องพยายามร้องเพราะร้องไม่เป็น ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีมากเลย เขาต้องพยายามร้องเพลงลูกทุ่ง มันเป็นเสียงที่เราคุ้นเคยของคุณน้อยมาร้องลูกทุ่ง ทุกคนชอบมากเลย ถึงมันน้อยๆ แต่ทุกคนก็ชอบมากเลย เดี๋ยววันหนึ่งหรือวันแถลงข่าวใดๆ คุณน้อยช่วยโชว์หน่อยเถอะ คุณน้อยก็รับปาก เออ เราก็มีความสุขกับตรงนี้ แล้วก็ทุกครั้งที่ไข่มุกร้องนี่แบบอื้อหือ คือแบบว่าในเรื่องที่ผมถ่าย เราแทบไม่เห็นหน้าคุณไข่มุกเลย เพราะฉะนั้นตอนที่เขาทำความสะอาดห้องน้ำไปแล้วร้องไป บางทีเราไม่ต้องให้เขาร้องก็ได้ เราเปิดเทปก็ได้ ทำทีหลังได้ แต่คุณไข่มุกเขาทำเองร้องเอง ร้องใหม่ทุกครั้ง เป๊ะมากเลย ก็เพราะจริงๆ ฮะ เสียงเขามีเสน่ห์มาก แล้วก็มีความสุข เวลาเราทำงาน ไม่รู้สิ ทีมงานผมบางคนไม่อินลูกทุ่งนะครับ แต่พอจะปิดกล้องเขาบอกว่าเขาหลงเพลงลูกทุ่งไปแล้ว

แล้วมีเพลงหนึ่งคือเพลงล่องเรือหารัก ตอนที่คุณศุล่องเรือเนี่ย เราต้องถ่ายทำ ฉากที่ตรงนั้นมันเป็นคลองหรือที่มีสองข้างทางแบบกรุงเทพอ่ะ ก็น่ารักดี แล้วเงียบ เพราะช่วงเราถ่ายไม่มีเรือหางยาวเลยจะเงียบสงบ พอเราเปิดเพลงให้คุณศุ บุญเลี้ยงร้องตอนถ่ายทำนะครับ เพลงมันก็ดัง เรียกได้ว่ามันดังทั้งคุ้งน้ำเลย แล้วก็หลายรอบ ล่องเรือหารักกันทั้งวันเลย มีความสุขมากๆ เลยฮะ ผมอยากให้ทุกคนได้ไปเห็นความรู้สึกตรงนั้น ทุกคนเงียบ เดินกล้อง เรือที่ตั้งกล้องก็เงียบ ไม่มีติดเครื่อง แล้วค่อยพายเบาๆ คุณศุร้องเพราะมากๆ ฮะ แล้วต่อลำโพงใหญ่ๆ มีแต่เสียงเครื่องโดรน ฉากนั้นเราถ่ายโดรนเรี่อยไปตามน้ำ
แล้วก็เพลงของหนิม เพลง “แต่งงานกันเถอะ” ผมก็ใช้โคโรกราฟมือต้นๆ ของประเทศไทยเราอย่าง “ครูเจด้า” ก็ไปเล่าเรื่องลูกทุ่งให้เขาฟังเพื่อออกแบบท่าเต้น เขาก็อินเพลงลูกทุ่งนี่ใช่เลย แล้วเรามีโมเดลคือเพลงอินเดีย หนังอินเดีย ท่าเต้นอะไรงี้ ก็คุยกัน ครูเจด้าเขาก็ชอบ ก็ให้เขาช่วยออกแบบท่าเต้นให้ ก็เป็นอีกฉากหนึ่งที่ประทับใจ

ฉากอื่นๆ กับนักแสดงทุกๆ ท่านในเรื่องนี้ ผมดีใจมากที่ได้ร่วมงานกัน ประทับใจมากครับ

การร่วมงานกับทีมนักแสดง
ไม่รู้ผมคิดไปคนเดียวหรือเปล่า ผมอินลูกทุ่งมากนะแต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าต้องเอามาร้อง ผมเป็นคนร้องเพลงไม่เป็น แต่ว่าผมรู้สึกจริงจังกับการเลือกสรรฟังเพลงลูกทุ่ง แล้วเก็บเพลงลูกทุ่งเอาไว้ทั้งเก่าทั้งใหม่ไว้ฟังนะ ตอนทำงานก็เลยลุ้นไปว่าความรู้สึกของนักแสดง ทีมงาน หรือใครก็ตามที่มาร่วมอยู่ในโปรเจกต์นี้ เขาจะรู้สึกกันยังไง ซึ่งหนังเรื่องนี้ผมมักจะพูดคำๆ หนึ่งว่า "ผมเชื่อว่าคนไทยต้องมีใจลูกทุ่ง" ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร บางคนเนี่ยรักลูกทุ่งอยู่แล้ว บางคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีลูกทุ่งอยู่ในใจ บางคนคิดว่าตัวเองไม่ใช่แล้วปฏิเสธ แต่จริงๆ แล้วทุกคนน่ะมีลูกทุ่งอยู่ในใจไม่มากก็น้อย อยู่ที่ว่าเมื่อใดเพลงลูกทุ่งจะมาจุดความเป็นลูกทุ่งของคุณออกมา อยู่ที่ทุกคนจะโดน แล้วก็มีคำถามหนึ่งที่ผมจะถามทุกคนว่า เคยฟังลูกทุ่งไหม และเมื่อใดที่ฟัง หรือ ณ ตอนนั้นทำไมถึงฟังลูกทุ่ง ผมจะสนุกมากกับการได้ฟังคำตอบจากคนที่ไม่ค่อยได้ฟังลูกทุ่ง แล้วเขาจะตอบว่า เออ...ปกติเขาไม่ได้ฟังหรอก แต่บังเอิญวันนั้นยังไงไม่รู้มันแวบมา แล้วก็ทำให้เขาเผลอฟังจนจบเลยอ่ะ เหมือนเปลี่ยนคลื่นวิทยุแล้วมันเข้ามาแล้วก็เผลอฟังจนจบเลยก็มี มันก็จะเกิดโมเม้นต์แปลกๆ แต่ว่ายังไงก็ตาม มันคือจิตวิญญาณของความเป็นคนไทยกับเพลงลูกทุ่ง

เสน่ห์-ความน่าใจของภาพยนตร์เรื่องนี้
เพลงลูกทุ่งครับ อยู่ตรงเพลงลูกทุ่งเลย ซึ่งผมว่าหนังไทยยังไม่มีภาพแบบนี้ เราอาจจะเคยเห็นหนังลูกทุ่งมาแล้ว  เพลงลูกทุ่งมาแล้ว อาจจะมิวสิควิดีโอลูกทุ่งมาแล้ว แต่คุณไม่เคยเห็นหนังลูกทุ่งที่มีภาพแบบนี้ ผมว่าอันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่แปลก ใหม่ แล้วก็ส่วนตัวผมว่ามันน่าสนใจนะ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนดูจะสนใจหรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่รู้ มาดูว่าคนเมืองเขาฟังลูกทุ่งกันยังไง ลูกทุ่งมีผลยังไงกับคนเมืองอย่างนี้ดีกว่า เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ของคนเมืองคนต่างจังหวัดหรอก แต่มันของคนไทยทุกคน

คำว่า "ลูกทุ่ง" ที่ผมใช้ในหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่เป็นเพลงคลาสสิกไปแล้ว เพราะฉะนั้นพอคลาสสิกแล้วเนี่ย ผมว่าคนที่เคยดูลูกทุ่งก็จะยอมรับมัน จะชอบเลย ชอบเพลงทุกเพลงในหนังเรื่องนี้ ส่วนคนอีกฝั่งที่ไกลและไม่รู้จักลูกทุ่งเลย ผมว่าเขาน่าจะหันมามอง แล้วก็น่าจะเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ท้าทายให้เขามาดู แล้วก็เหมือนกับสำรวจตัวเองว่า สุดท้ายเขาใช่หรือเปล่ากับลูกทุ่ง ซึ่งผมกล้าท้าว่าใช่  ถ้าคุณเป็นคนไทย มีจิตวิญญาณ คุณคือคนลูกทุ่ง เพราะฉะนั้นคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังสำหรับคนไทยทุกคนที่น่าจะมาดูกันครับ

: ปรัชญา ปิ่นแก้ว, ลูกทุ่ง ซิกเนเจอร์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • THE MASTERPIECE เวทีบันลือโลก เล่นใหญ่ดึงคนดังระดับโลก "โคตะ มิอุระ" - "นาตาลี เกลโบวา" เปิดเวทีบิ๊กเซอร์ไพรส์
  • ผู้กำกับรุ่นเก๋า ปรัชญา ปิ่นแก้ว ตีความกระสือใหม่ SisterS กระสือสยาม
  • "ปรัชญา ปิ่นแก้ว" ส่ง "The Letter" และการผจญภัยของเด็กน้อยเป็น "ของขวัญ" บันดาลพลังใจ
  • บทสัมภาษณ์ 4 ผู้กำกับ 4 ภาพยนตร์สั้น ในโปรเจกต์ "ของขวัญ"
  • ปรัชญา ปิ่นแก้ว ปั้นสองผู้กำกับใหม่ไฟแรงใน "15+ ไอคิวกระฉูด" การันตีความฮาสุด(กลัด)มันส์
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :