"The Finest Hours" ผลงานการกำกับโดย เคร็ก กิลเลสปี้ นำแสดงโดย คริส ไพน์ นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และลูกโลกทองคำ เคซีย์ เอฟเฟล็ค, เบน ฟอสเตอร์, ฮอลลิเดย์ เกรนเจอร์, จอห์น ออทิซ และอิริค บานา
"ผมชื่นชอบความเรียบง่ายของเรื่องราวนี้ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่มีงานที่ต้องทำ และบังเอิญว่าในวันนี้ งานของพวกเขาทำให้พวกเขาต้องออกไปเสี่ยงตาย มันไม่ใช่เพื่อเกียรติยศ และมันก็ไม่ได้ทำไปเพื่อต้องการที่จะสร้างความยิ่งใหญ่อะไรให้กับตัวเอง... มันเป็นเพียงแค่คนที่ทำงานของตัวเองเท่านั้นเองครับ เรื่องราวของเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อพายุที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยพัดกระหน่ำโจมตีฝั่งอีสต์โคสต์ในบริเวณที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่ามีเรืออับปางจำนวนมากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พายุลูกนั้นเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1952 ก่อให้เกิดคลื่นสูง 70 ฟุต และตัวละครของผม เบิร์นนี่ เว็บเบอร์ ก็ออกไปกับลูกทีมสามคนด้วยเรือไม้กู้ชีพขนาด 36 ฟุต สุดท้ายพวกเขากลับสูญเสียเข็มทิศและไม่มีวิธีไหนที่จะบอกทิศทางได้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถช่วยชีวิตคน 32 คนจากเรือบรรทุกน้ำมันแบบ T-2 ที่ขาดเป็นสองท่อนได้ มันเป็นการกู้ภัยด้วยเรือเล็กที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของหน่วยป้องกันชายฝั่งเลยล่ะครับ
ตัวละครของผม เขาคือหัวหน้าผู้คุมเรือหน่วยป้องกันชายฝั่ง และเป็นหนึ่งในสี่คนที่นั่งเรือกู้ชีพออกไปช่วยคน 32 คนจากเรือเอสเอส เพนเดิลตัน เขาน่ารัก อ่อนโยน เป็นคนที่ยังไม่พบตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เขาโตขึ้นมาในครอบครัวของผู้ชายที่แข็งแกร่ง ที่ไปออกรบแล้วได้รับการติดยศ ส่วนเบิร์นนี่เองอายุน้อยเกินกว่าจะออกรบได้ เขาก็เลยรู้สึกว่าเขาควรจะอยู่ที่นั่นด้วย ผมชอบเบิร์นนี่เพราะเขาไม่ย่อท้อต่อเสียงเย้ยหยันหรือคำประชดประชัน เขาไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวหราว... เขาไม่ใช่ "เด็กเมือง" เขาเป็นคนจากอีกยุคสมัยหนึ่งน่ะครับ งานครั้งนี้ผมต้องรับบทบาทของคนที่มีตัวตนอยู่จริง หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงครับ คุณก็เลยอยากจะยกย่องคนพวกนี้และสิ่งที่พวกเขาทำได้สำเร็จ... คุณอยากจะแสดงความเคารพต่อพวกเขาและถ่ายทอดแก่นแท้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นใคร มันมีบันทึกเสียงเยี่ยมๆ ของเบิร์นนี่ตอนที่เขาเล่าเรื่องราวนี้หลังจากผ่านเรื่องในคืนนั้นหลายปี การฟังน้ำเสียงของเขา และการที่เขาตอบสุภาพบุรุษคนหนึ่งที่ตั้งคำถามทำให้คุณบอกได้เลยว่าเขาเล่าเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว และผมก็รู้สึกว่าเขาไม่อยากจะพูดถึงมันอีกต่อไปแล้ว การคุยกับคนที่รู้จักเบิร์นนี่ทำให้ผมพบว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา เขาเป็นคนเงียบๆ ที่จริงจังกับงานที่เขาเชี่ยวชาญน่ะครับ น่าเสียดายที่ผมไม่ได้มีโอกาสได้พบเบิร์นนี่เพราะเขาเสียชีวิตก่อนที่หนังเรื่องนี้จะถูกสร้างขึ้น แต่ผมได้พบกับกัสที่เป็นเพื่อนสนิทของเบิร์นนี่และแอนดี้ ตอนนี้พวกเขาอายุ 80 กว่าแล้ว แต่คุณก็ยังสามารถเห็นความเป็นเด็กในตัวพวกเขาได้ และความทรงจำของพวกเขาก็ยังดีไม่เปลี่ยน การได้พบกับพวกเขาทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่าเบิร์นนี่เป็นคนแบบไหน ซึ่งช่วยได้มากเลยทีเดียวเชียวครับ การร่วมงานกับ เคร็ก กิลเลสปี้ ในฐานะผู้กำกับบางครั้ง คุณก็จะสงสัยว่าคนที่สร้างหนังที่ให้ความสำคัญกับการแสดงอย่างเคร็กจะสามารถจินตนาการ และสร้างโลกใบนี้ที่มีฉากใหญ่โตพวกนี้ได้รึเปล่า แต่เคร็กก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการนำองค์ประกอบต่างๆ มารวมกันและทำให้มันให้ความรู้สึกที่สมจริงและดูน่าตื่นตาตื่นใจ เขามาจากโลกของหนังตลาดและมีความสามารถเหลือเชื่อในการไม่รู้สึกหวาดหวั่นไปกับงานที่เหนื่อยแสนสาหัสพวกนี้ มันดูเหมือนเป็นงานง่ายๆ สำหรับเขา เขาก็แค่เดินสบายๆ รอบกองถ่ายอย่างเงียบๆ แล้วทุกอย่างก็ดูวิเศษสุด ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเคร็กกับนักแสดงและสไตล์การกำกับของเขาทำให้นักแสดงมีอิสระในการสำรวจอะไรหลายๆ อย่าง เขาผลักดันผมให้สำรวจตัวละครของผม ที่เป็นคนที่บริสุทธิ์มากๆ และไม่เหมือนกับบทอื่นๆ ที่ผมเคยแสดงมาก่อน มันน่ากลัวก็จริง แต่ผมก็ชื่นชมเขาที่ผลักดันผมแบบนี้ครับ
การถ่ายทำซีเควนซ์พายุเป็นเรื่องท้าทาย เราใช้เวลาค่อนข้างเยอะอยู่บนเรือกู้ชีพ CG 36500 ในแทงค์น้ำ โดยมีพัดลม 200 แรงม้าเป่าลมผสมกับหิมะปลอมที่ทำจากเจลาตินพืชใส่หน้าเรา แล้วผู้ประสานงานฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ของเราก็จะพ่นน้ำใส่ตัวเรา ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ที่มันจะเย็นมากๆ เพราะเราถ่ายทำกันในแมสซาซูเซทส์ช่วงต้นฤดูหนาว คุณจะได้ยินเสียงน้ำถูกปล่อยในจังหวะที่ดูเหมือนจะเป็นสโลว์โมชัน แล้วมวลน้ำก้อนใหญ่ก็จะถาโถมเข้าใส่คุณ เรือของเราถูกผูกติดกับฐานเคลื่อนไหวบนสเตจที่อู่ต่อเรือฟอร์ ริเวอร์ ซึ่งทำให้เราสามารถจำลองการเคลื่อนไหวของเรือที่เผชิญกับคลื่นสูง 70 ฟุตได้ มันถูกควบคุมด้วยระบบกลไกและรอกโดยจะมีคนกดปุ่ม ที่ทำให้เรือพลิกและเอียงได้ เบน ฟอสเตอร์กับผมก็จะมีเวลาไม่กี่วินาทีในการมองหน้ากันก่อนที่หายนะจะบังเกิด จริงๆ แล้ว มันก็สนุกดีนะครับ เกือบเหมือนการได้นั่งอยู่บนรถไฟเหาะเลย แต่หลังจากผ่านไป 15 ชั่วโมง มันก็เหมือนเวลาผ่านไปนานมาก ตอนที่แอนดี้ ฟิทซ์เจอรัลด์และกัส เพื่อนของเบิร์นนี่มาเยี่ยมชมกองถ่าย เสียงบ่นก็หยุดอย่างรวดเร็วเพราะเราทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง ผมหวังว่าผู้ชมจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง แม้ว่ามันจะไม่ใช่หนังซูเปอร์ฮีโร แต่มันก็ไม่ได้ขาดสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ที่น่าทึ่งเลย การได้เห็นมันบนจอใหญ่จะต้องพิเศษสุดแน่ๆ มันไม่มีสัตว์ประหลาด เป็นแค่คนกับมหาสมุทร ผมคิดว่ามีบางสิ่งที่น่าตื่นเต้นจริงๆ เกี่ยวกับการได้เห็นคนต่อสู้กับธรรมชาติเพราะธรรมชาติไม่แคร์หรอกว่าคุณเป็นใคร คุณชื่ออะไรหรือคุณมาจากไหน... มันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง ดังนั้น การได้เห็นคนพวกนี้ออกไปในค่ำคืนที่พายุแรงอย่างน่าสะพรึงกลัวและทำในสิ่งที่เหลือเชื่อจะเป็นสิ่งที่น่าทึ่งจริงๆ มันเป็นเรื่องราวเยี่ยมๆ เกี่ยวกับความรักและการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงเวลาที่ยากเย็นที่สุดเพราะคุณรู้ว่าคุณมีบางสิ่งที่วิเศษสุดและสดใสรออยู่ที่ปลายอุโมงค์ที่มืดหม่นนี้น่ะครับ" คริส ไพน์ กล่าว
The Finest Hours ชั่วโมงระทึกฝ่าวิกฤตทะเลเดือด 28 มกราคม 2559 ในโรงภาพยนตร์ และในระบบ 3 มิติ, ไอแมกซ์ 3 มิติ, และ 4 มิติ