Q: เล่าให้เราฟังหน่อยเกี่ยวกับ เอ็มมา ตัวละรของคุณ ว่าตอนที่เราได้พบเธอครั้งแรก เธอเป็นคนยังไง
A: เราได้พบเอ็มมาครั้งแรกผ่านทางเดวิดค่ะ เขามาเคาะประตูห้องเธอกลางดึก พยายามจะคืนดีกับเธอ เขาไม่ได้ติดต่อกับเธอซักพักแล้ว และเอ็มมาก็พยายามจะติดต่อเขาเพราะเธอท้อง เธอเป็นตำรวจนิวยอร์ก ซึ่งเราเพิ่งมารู้หลังจากที่เราได้เห็นเดวิดโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่ตลกจริงๆ เธอสับสนกับความคิดที่ว่าผู้ชายคนนี้เป็นพ่อของลูกเธอ เขาจะเลี้ยงเธอไหม เขาจะเป็นพ่อที่ดีรึเปล่า มันก็เลยเป็นการผจญภัยสำหรับทั้งคู่ในแง่ที่ว่าเอ็มมาต้องเรียนรู้ที่จะไว้ใจเดวิดและเดวิดก็ต้องโตขึ้นค่ะ
Q: ทำไมเธอถึงสงสัยว่าเขาจะเป็นพ่อที่ดีได้รึเปล่าล่ะ
A: เขาเป็นน่ารัก มีเสน่ห์ และทุกคนก็รักเขา แต่เขาเป็นคนที่พึ่งไม่ได้ ฉันคิดว่าสำหรับคนอย่างเอ็มมา ที่เป็นคนจริงจัง เป็นตำรวจ และมีระเบียบเรียบร้อย การมีคนแบบนี้ในชีวิตทำให้หงุดหงิดได้มากๆ ท้ายที่สุดแล้ว ฉันคิดว่าเธอรู้สึกได้ว่าเขาทำให้เธออ่อนโยนขึ้น และทำให้เธอมีความสุขมากๆ เธอก็เลยตัดสินใจอยู่กับเขาค่ะ
Q: เดวิดตั้งใจจะพิสูจน์ให้เอ็มมาได้เห็นว่าเขาเป็นพ่อที่ดีได้ เขาทำได้ยังไง
A: ค่ะ ในตอนที่เอ็มมาบอกเดวิดว่าเธอท้อง เขาก็ต้องพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าเขาเป็นพ่อที่ดีได้ เขาพิสูจน์ด้วยการทุ่มเทให้กับงาน นอกเหนือจากการที่เขามารู้ว่าเขาเป็นพ่อของเด็ก 533 คนน่ะค่ะ มันเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เธอเห็นเป็นคนแรก แต่เขาต้องพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นก่อน ซึ่งเขาก็ลงมือทำด้วยการติดต่อลูกๆ บางคนของเขา ไม่ใช่ในฐานะของตัวเขาเอง ไม่ใช่ในฐานะพ่อ แต่เป็นในฐานะคนนอก เหมือนเทพผู้คุ้มครองน่ะค่ะ เขาเข้ามาในชีวิตพวกเขาและพยายามทำในสิ่งดีๆ
Q: คุณคิดยังไงกับปัญหาของเขา
A: ฉันรู้สึกว่าเดวิดเป็นคนจิตใจงามจริงๆ และมันก็เป็นปัญหาหนักอกสำหรับเขาที่จะเผยตัวตนออกไปเพราะเขากำลังแบกรับความรับผิดชอบมหาศาล และเขาก็กำลังยอมรับต่อคนทั้งโลกว่าเขาเป็นคนที่ทุกคนเชื่อว่าเป็นคนเลวเหลือเกิน มันก็เลยเป็นปัญหาที่ตัดสินใจยากมากๆ แต่ฉันคิดว่าท้ายที่สุดแล้ว หัวใจเขาก็เป็นฝ่ายชนะค่ะ
Q: คุณคิดว่าทำไมวินซ์ถึงเป็นนักแสดงที่เหมาะกับบทเดวิด
A: วินซ์เป็นคนที่มีเสน่ห์มากๆ และเขาก็น่ารักมากๆ ด้วย รู้มั้ยว่าฉันชอบอะไรเกี่ยวกับวินซ์ ฉันชอบเสียงหัวเราะของวินซ์ เสียงหัวเราะของวินซ์มันทำให้คนอื่นหัวเราะตามได้ เขาเป็นคนตลกมากๆ แต่เขาก็เก่งในเรื่องการแสดงช่วงเวลาที่อ่อนหวาน ตามความจำเป็นด้วย ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่คุณจะเอาใจช่วยเสมอ ในหนังทุกเรื่องที่ฉันได้ดูเขา คุณจะอยากให้เขาชนะ คุณจะอยากให้เขาเป็นพระเอก คุณจะคอยหนุนหลังเขา และเขาก็เป็นคนตลกเหลือเกินค่ะ
Q: กระบวนการทำงานในกองถ่ายเป็นยังไงบ้าง มีการอิมโพรไวส์รึเปล่า
A: มันไม่ได้มีการอิมโพรไวส์มากมายอะไรค่ะ แต่วินซ์ก็อิมโพรไวส์เก่งมากๆ ฉันเข้ามาในโปรเจ็กต์นี้ด้วยความคิดว่า “พระเจ้า ฉันจะต้องฝึกฝนทักษะการอิมโพรไวส์ของตัวเองซะหน่อย” เพราะซีรีส์ของฉันมีบทเป็นส่วนมาก และไม่ค่อยมีการอิมโพรไวส์เลย ฉันคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ฉันทั้งสนใจใคร่รู้และตื่นเต้นที่จะได้ทำแบบนั้นค่ะ แต่ดูเหมือนว่าเคน สก็อต ด้วยความที่เขาเคยแสดงหนังเรื่องนี้มาก่อน เขาก็เลยรู้ว่าเขาต้องการอะไร เขาเป็นคนที่รู้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขารู้จักช็อตของตัวเองดี เขารู้ว่าเขาอยากให้มีการพูดอะไร แล้วเขาก็เป็นคนเขียนบทเองด้วย ถ้อยคำของเขาช่างดีเหลือเกิน บทของหนังเรื่องนี้ดีมากจนมันไม่มีพื้นที่ให้อิมโพรไวส์ซักเท่าไหร่ ตามปกติแล้ว หลังจากที่เราแสดงจบฉากหนึ่งๆ มันก็จะมีการพูดคุยกันนิดหน่อย แล้วมันก็จะมีการพูดคุยกันก่อนหน้านั้นเพื่อหาช่วงจังหวะที่เหมาะสม หรือเพื่อสร้างอารมณ์เราให้ไปถึงจุดๆ นั้น แต่เท่านั้นเลยจริงๆ เรายึดบทมากๆ ซึ่งทำให้ฉันแปลกใจจริงๆ แต่อย่างที่ฉันบอก บทหนังเรื่องนี้ดีมากจนเราไม่ได้ต้องคิดอะไรขึ้นมาใหม่เลยค่ะ
Q: ช่วยเล่าให้เราฟังถึงหนังต้นฉบับที่ชื่อ “Starbuck” ที่เป็นหนังฝรั่งเศส/แคนาเดียนหน่อยสิ คุณรู้สึกยังไงกับมันบ้าง คุณได้ดูหนังเรื่องนั้นตอนที่เข้าฉายในโรงหนังมั้ย หรือคุณได้ดูหนังเรื่องนั้นตอนที่คุณเตรียมตัวสำหรับหนังเรื่องนี้ล่ะ
A: ฉันได้ดูหนังเรื่องนั้นเพราะเอเจนท์คนหนึ่งของฉันคิดว่าฉันควรจะได้ดูมัน ฉันคิดว่าตอนนั้น หนังเรื่องนี้กำลังสร้างอยู่ ฉันไม่ได้อยู่ในขั้นตอนออดิชันด้วยซ้ำ แต่เธอชอบหนังเรื่องนั้น และเธอรู้ว่ากำลังมีการสร้างหนังเรื่องนี้อยู่ และเธอก็อยากให้ฉันสนใจมัน และฉันก็สนใจจริงๆ การสร้างหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องยากทีเดียวเพราะครั้งแรก พวกเขาทำมันออกมาได้ดีมากๆ ดังนั้น การเข้าหาหนังเรื่องนี้สำหรับเราก็เหมือนกับการเข้าหาละครเวทีค่ะ มันเป็นโปรดักชันเยี่ยมๆ อีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่ใช้ทีมนักแสดงคนละชุด และฉันก็อยากจะพบทีมนักแสดงชุดเดิมเพราะฉันคิดว่าพวกเขาทำงานได้อย่างวิเศษสุด ฉันประทับใจกับเรื่องราวมากๆ และตอนจบฉันก็ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าเลย ฉันคิดว่าเคนทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนมันทำให้ฉันอยากจะแสดงหนังเรื่องนี้ และพยายามทำให้มันออกมาดีพอๆ กับที่พวกเขาเคยทำน่ะค่ะ
Q: คุณคว้าบทนี้มาได้ยังไง
A: ฉันใช้สินบนเป็นเงินสดน่ะสิคะ เปล่าหรอกค่ะ ฉันก็ใช้วิธีเดิมๆ นั่นคือฉันได้พบกับผู้กำกับเคน สก็อตและผู้ควบคุมงานสร้าง สก็อต เมดนิค ที่ดรีมเวิร์คส์ ซึ่งอังเดร รูโล ก็อยู่ที่นั่นด้วย เราก็แค่นั่งพูดคุยกัน แล้วฉันก็ได้ทดลองอ่านบท ฉันทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อกล่อมให้พวกเขาให้บทนี้กับฉัน ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำอะไรลงไป ฉันก็แค่อ่านออกมาดังๆ และพยายามจะพูดมันออกมาให้ดี สุดท้าย ฉันก็ได้บทนี้มา ซึ่งมันก็เกิดขึ้นตามวิธีเดิมๆ นั่นแหละค่ะ
Q: เคน สก็อต ที่เป็นทั้งผู้กำกับและมือเขียนบท เล่าอะไรให้คุณฟังถึงตัวละครของคุณบ้าง และเขาเล่าว่าเขาต้องการจะเปลี่ยนแปลงเธอเพื่อผู้ชมอเมริกันยังไงบ้าง
A: ฉันไม่คิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากมายอะไรนะคะ ฉันคิดว่าหัวใจสำคัญของตัวละครของฉันก็เหมือนกับในหนังต้นฉบับ ฉันคิดว่าเธอเป็นตัวกำหนดขอบเขตค่ะ หัวใจสำคัญของตัวละครตัวนี้ยังเหมือนเดิม เธอยังคงเป็นผู้หญิงที่กังวลเรื่องการเป็นแม่และกังวลเรื่องพ่อของลูก ไม่ว่าเธอจะเป็นชาวฝรั่งเศส/แคนาเดียน หรือเป็นชาวอเมริกัน มันก็เป็นความขัดแย้งแบบเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราคุยกันค่ะ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง
Q: ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเคนในกองถ่าย ในฐานะผู้กำกับเป็นยังไงบ้าง
A: เขารู้ว่าเขาต้องการอะไรค่ะ และมันก็เป็นเรื่องดีมากๆ ที่จะได้เข้ากองถ่ายที่เขารู้จักช็อตที่เขาต้องการ และสำหรับฉากที่สะเทือนอารมณ์ โดยเฉพาะสำหรับเอ็มมา มันก็เป็นการหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความโกรธ ความเปราะบาง และทำให้แน่ใจว่าจะมีความรักสำหรับคนๆ นี้ เราเล่นกับอุณหภูมิที่หลากหลายกันค่ะ แต่เขาเป็นคนนิ่งมากๆ ฉันคิดว่าเขารับมือทุกอย่างได้อย่างวิเศษสุด ฉันคิดว่าสำหรับเขาแล้ว มันเป็นโอกาสในการได้สร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และบางที เขาอาจจะสร้างมันให้แตกต่างจากเดิมเล็กน้อย หรือสร้างแบ็คกราวน์ที่ต่างออกไป นิวยอร์กเป็นแบ็คกราวน์ที่สวยงามสำหรับหนังทุกเรื่อง เพราะมันก็เหมือนกับเป็นตัวละครตัวหนึ่งเหมือนกัน เมืองนิวยอร์กเองช่าง...ฉันตื่นเต้นมากที่ได้ถ่ายทำที่นี่ค่ะ