“ความนึกคิดของเราสามารถดำรงอยู่ได้นานกว่าร่างกายของเรา แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะ? ถ้าไอน์สไตน์หรือสตีฟ จ็อบส์มีอายุยืนยาวกว่านั้น พวกเขาก็คงจะทำอะไรให้มนุษยชาติได้อีกเยอะนะครับ”

ผู้อำนวยการสร้างแรม เบิร์กแมนตั้งข้อสังเกตว่า “พอผมได้บทเรื่องนี้มา ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นคอนเซ็ปต์ที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ มันมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริง แม้ว่ามันจะมีความเป็นไซไฟอยู่ด้วยก็ตาม นี่เป็นหนังที่อยู่ภายในขอบเขตของทริลเลอร์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตั้งคำถามต่างๆ ด้วย มันมีความเปลี่ยนแปลงจริงๆ เกิดขึ้นในเรื่องราวนี้ครับ”

เบิร์กแมนกล่าวว่า “ผมชื่นชอบภาพวิชวลของทาร์เซมเสมอ แต่การค้นพบผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า ระหว่างการพบกันครั้งแรก ทาร์เซมเล่าให้ผมฟังว่าเขามองภาพ Self/less ว่าได้แรงบันดาลใจจากทริลเลอร์ของโรมัน โปแลนสกี้ยุค 60s และ 70s น่ะครับ”
    
สเติร์นเล่าว่า “ทาร์เซมมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร และรู้ว่าเขาอยากจะทำอะไรกับมัน เมื่อตัวละครมีความสำคัญอันดับแรก องค์ประกอบทริลเลอร์และไซไฟก็ตามมา Self/less เป็นโอกาสให้ทาร์เซมได้สำรวจตัวละครในแง่มุมที่ลึกซึ้งกว่าเดิม และเขาก็ค่อนข้างรักเรื่องราวนี้ครับ”
    

“มนุษย์เราพยายามจะพัฒนาวิทยาศาสตร์ให้ก้าวไปข้างหน้าเสมอ และมันก็มีข้อโต้แย้งในชีวิตจริงเกี่ยวกับการโคลนนิง ชิ้นส่วนเทียมจักรกลและการพัฒนาให้พ้นขีดจำกัดทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์เรา ดังนั้น การย้ายสติสัมปชัญญะความนึกคิดก็เป็นไปได้สูง เรานำเสนอองค์ประกอบเหล่านี้ในรูปแบบที่สมจริง เพื่อที่ผู้ชมจะเชื่อและเชื่อในไอเดียที่ว่า ‘ถ้าฉันยังอยู่และมีเงินในกระเป๋าล่ะก็ บางที ฉันอาจจะทำแบบนี้ได้...’ น่ะครับ”
    
ไรอัน เรย์โนลด์สกล่าวเสริมว่า “ผมคิดว่าผู้ชมทุกคนต่างก็ถูกดึงดูดเมื่อแง่มุมการทำตามความหวังให้เป็นจริงเป็นกุญแจสำคัญของหนังเรื่องนั้นๆ การต่อชีวิต การโกงความตาย ถ้าและเมื่อไหร่ที่องค์ประกอบที่พอเหมาะถูกใส่เข้าไป วิทยาศาสตร์แบบนี้ก็ดูเหมือนไม่ได้ไกลเกินความจริงซักเท่าไหร่ครับ”