ข่าว > ข่าวดาราทั้งหมด > ข่าวดาราไทย

"หม่อมน้อย - ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล" ใส่ใจรายละเอียดเบื้องหลังกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุด "แม่เบี้ย"

11 ส.ค. 2558 09:37 น. | เปิดอ่าน 1520 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

โลเกชั่นเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง

หลักๆ คือโลเกชั่นบ้านไทย ซึ่งบังเอิญมากเราได้บ้านไทยริมน้ำที่สุพรรณบุรี ที่บางปลาม้าจริงๆ ซึ่งไม่เคยผ่านการถ่ายทำภาพยนตร์หรืออะไรมาก่อนเลย ซึ่งเป็นบ้านเก่าเจ้าของเก่าทำร้านอาหารแล้วเลิกทำไป 3 ปีเลยทิ้งไว้ร้างๆ แบบนั้น เราก็เลยได้ไปรีโนเวทใหม่ ซึ่งสวยเหลือเกิน บรรยากาศก็ดีมาก แล้วเราก็เลยทำให้น่าเชื่อให้สมเป็นบ้านของเมขลาจริงๆ ดูลึบลับ มีอะไรบางอย่างที่มีกระแสคลื่นที่ลึบลับ ก็เหมาะกับบ้านหลังนี้มาก มันสวยมากๆ

มุมมองใหม่ผ่านการถ่ายทำของตากล้องโฆษณา    

เรื่องการถ่ายทำครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราใช้ตากล้องจากวงการโฆษณา คือ "คุณอุดม วรประคุณ" เพราะถ้าสังเกตดีๆ มันกลายเป็นหนังที่ไม่พีเรียดเรื่องแรกของเราในระยะหลังด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเราอยากได้มุมมองเก๋ๆ ทันสมัยกับหนังเรื่องนี้ก็เลยใช้ตากล้องโฆษณามาถ่าย ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว มันได้แง่มุมใหม่ๆ ซึ่งเราไม่เคยเห็นแล้วเราไม่เคยทำด้วย คือว่าในส่วนที่เป็นกรุงเทพฯ ทั้งหมด เราใช้เครื่องมืออย่างโดรนมาถ่ายในฉากเปิดเรื่องที่ภาคภูมิขับรถข้ามสะพาน เราใช้เครื่องมือมากขึ้น ให้มันดูทันสมันมากขึ้น หรือการใช้มุมกล้องที่เป็นแฮนด์เฮลในบริษัทของชนะชล แสงที่มองดูเป็นเรื่องทันสมัย ในบ้านชนะชลที่เป็นบ้านในยุคปัจจุบัน ปกติบ้านเราเป็นบ้านพีเรียดหมด การใช้แสงเป็นแสงที่เหมือนจริงในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นมุมกล้องต่างๆ เป็นเรื่องทันสมัยกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ที่ทำมา เพราะฉะนั้นเราถึงใช้ตากล้องที่มาจากวงการโฆษณา เวลาเมขลาอยู่ที่กรุงเทพฯ เขาจะเป็นผู้หญิงเก๋ๆ แต่พอไปอยู่บ้านที่สุพรรณก็จะดูเป็นไทย เพราะฉะนั้นมันจะมีความแตกต่างระหว่างกรุงเทพฯ ที่ทันสมัยกับบ้านที่สุพรรณที่มีความเป็นไทยมากซึ่งในหนังเรื่องอื่นเราไม่มี ซึ่งอันนี้มุมกล้องต่างๆ มันมีอะไรที่เก๋ไก๋ขึ้นมากว่าเดิมมาก ร่วมสมัยมากขึ้น

ทีมงานเบื้องหลังอื่นๆ

เสื้อผ้า-หน้าผม เราใช้ทีมเดิมหมดเลย เราใช้เสื้อผ้า "โจ้ Surface" (อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์) กับเมคอัพอาจารย์ "ขวด-มนตรี วัดละเอียด" ทุกอย่างเหมือนเดิมหมดเลย แล้วก็คือทำงานเข้าขาแล้ว เสื้อผ้าก็มีทั้งเสื้อผ้าที่ทันสมัยแล้วก็เสื้อผ้าที่เป็นความเป็นไทย โดยที่ผ้าไทยเป็นผ้าไทยที่ทำใหม่แต่ว่ารักษาของเดิมไว้ ราคาแพงมาก เอามาใช้เป็นผ้านุ่งของเมขลา เครื่องประดับก็เป็นของเก่าจริงๆ เป็นของโบราณจริงๆ ทั้งหมด ส่วนเสื้อผ้าฝั่งกรุงเทพฯ ก็มีการดีไซน์ใหม่ทั้งหมด ให้ทันสมัยให้ร่วมสมัยขึ้น ทรงผมมีการดีไซน์พิเศษสำหรับตัวเมขลาเท่านั้น ให้ร่วมสมัยด้วยแล้วก็เป็นตัวของเขาด้วย มีความเป็นศิลปินอยู่ในตัวด้วย ฉากก็เหมือนกัน บ้านเมขลาที่กรุงเทพฯ จะมีความเป็นบ้านศิลปิน เป็นบ้านของอาร์ติส คนจบศิลปากร อันนี้มันมีความพิเศษตรงนั้น

ในส่วนของเพลงและดนตรีประกอบก็มีความละเมียดไม่แพ้ด้านอื่นๆ

ดนตรีประกอบเรื่องก็ทำโดย "อาจารย์ปิติ เกยูรพันธ์" ที่ทำแผลเก่า ซึ่งก็น่าสนใจมาก เพราะว่าดนตรีธีมของเรื่องมีอยู่ 2 ธีม ธีมหนึ่งคือใช้ "เพลงลาวคำหอม" คือเพลงไทยเดิมมาทำใหม่ กับอีกเพลงหนึ่งคือ "เพลงรู้กันแค่สองคน" ซึ่งแต่งใหม่เป็นเพลง R&B ซึ่งทั้ง 2 เพลง ร้องโดย "ฮัท จิรวิชญ์" (ฮัท เดอะสตาร์) ที่เล่นเป็นภาคภูมิ ซึ่งคุณปิติทำออกมาได้ดีมาก ฮัทเองก็ร้องได้เพราะมาก แตกต่างกันมากทั้ง 2 เพลง

"ลาวคำหอม" เป็นเพลงยุคเก่า คุณยายคุณย่าร้องกล่อมลูกหลาน มันเป็นเพลงเหมือนเพลงกล่อมลูก ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของตัวเมขลา เป็นจิตวิญญาณของความเป็นไทย ส่วน "รู้กันแค่สองคน" เป็นเพลงใหม่ R&B เป็นเพลงจิตวิญญาณของคนสมัยใหม่คือของผู้มีชู้ เพลงทันสมัยมาก เพื่อที่จะเห็นว่าเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมดา คือจิตเสรีเรื่องการเป็นชู้กัน มันอยู่ที่ใจมากกว่า แล้วก็เป็นเรื่องความลับนะรู้กันแค่ 2 คน เป็นคอนเซ็ปต์ของคนกรุงเทพฯ คนสมัยใหม่

แง่คิดจาก "แม่เบี้ย" เวอร์ชั่นนี้

จริงๆ หนังเองธาตุแท้จะพูดถึงศีลธรรม ถ้าเกิดดูดีๆ เขาไม่มีการโทษใครว่าใครผิดใครถูก จริงๆ มันอยู่ที่คนดูจะตัดสินเอง เป็นการนำเสนอภาพพฤติกรรมของมนุษย์หลายๆ คน ตัวละครหลายๆ แบบในเรื่องนี้มาให้คนดูได้ดู แล้วก็พิจารณาว่าเราเหมือนใครบ้าง ข้อบกพร่องของเขาแต่ละคนมีข้อบกพร่องในตัวเองบ้างหรือเปล่า ความสนุกของหนังจะอยู่ที่ตรงนี้มากกว่า และอาจจะอยู่ที่การตีความว่างูคืออะไรกันแน่ งูที่เมขลาเรียกว่า "คุณ" มีจริงหรือเปล่า หรือเมขลาคิดไปเอง หรือใครคิดไปเอง มันมีไดอะล็อกสำคัญที่ลุงทิมพูดกับชนะชลในฉากใกล้จะจบว่า ถ้าคุณเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงมันก็จริง ถ้าคุณเชื่อว่าเรื่องนี้มันไม่จริงมันก็ไม่จริง ทุกอย่างอยู่ที่ใจ เวลาเราศรัทธาเราเชื่ออะไร มันก็มีจริง ถ้าเราไม่ศรัทธาไม่เชื่อก็ไม่มีจริง ถ้าเราศรัทธาในคุณงามความดี คุณงามความดีก็มีจริง ถ้าเราไม่ศรัทธาในคุณงามความดี มันก็ไม่มีคุณงามความดีจริงๆ มันขึ้นอยู่กับคุณที่คุณจะเลือกว่า คุณจะศรัทธาในชีวิตหรือไม่ศรัทธา

การดู "แม่เบี้ย" เวอร์ชั่นนี้ให้สนุก ไม่ติดกับภาพจำเก่าๆ

คุณดูเวอร์ชั่นเก่าคุณจำได้เหรอ จำไม่ได้แล้วจะติดภาพอะไร เขาเรียกว่าอุปาทาน คุณอุปาทานไปเอง จริงๆ ถ้าจะดูภาพยนตร์เรื่องนี้ แนะนำว่าทำใจว่างๆ เปล่าๆ แล้วก็เหมือนแอบดูชีวิตคนแล้วสนุกๆ ไป เหมือนเราแอบดูคนข้างบ้าน แล้วเราเรียนรู้อะไรบ้าง เขาเป็นใครยังไง ลืมเรื่องเก่าให้หมด ไม่ต้องไปรู้ว่า "แม่เบี้ย" คืออะไร ใครเป็นใคร เริ่มใหม่ เป็นศูนย์ แล้วคุณจะได้อะไรเยอะเลย อย่างถ้าคุณมีภาพแม่เบี้ยเก่าแล้ว จิตใจคุณดูเหมือนมันผ่านแว่นตาที่มีสี คุณมีฟิลเตอร์อยู่ที่ตาแล้ว คุณจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ชัดเจน มีสีย้อมอยู่แล้วก็จะดูไม่สนุกแล้วก็ดูไม่รู้เรื่อง แล้วมันก็จะกลายเป็นไม่เห็นเหมือนเดิม ซึ่งเราจะเสียเวลา เสียพลังงาน เสียเงิน มาสร้างหนังรีเมกซ้ำๆ ซากๆ อย่างนั้นหรือ แต่ว่าความสนุกมันคงอยู่ที่นี่แหละ คนลักษณะนิสัยต่างๆ มาปรากฏอยู่บนจอ ต่อให้เจเนอร์เรชั่นเก่าที่ไม่รู้จักแม่เบี้ย หรือรู้จักแม่เบี้ยดี ก็จะสนุกกับมุมมองใหม่ และแก่นแท้ที่คุณวาณิชท่านได้เขียนเอาไว้

: หม่อมน้อย, แม่เบี้ย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • "ยีน เกวลิน" โพสต์เศร้า อาลัย "หม่อมน้อย" บรมครูเอกด้านวงการแสดง ครั้งสุดท้าย!
  • เอ็ม พิคเจอร์ส ควง มายาพิศวง เข้าชิง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน
  • "SIX CHARACTERS มายาพิศวง" คืนชีพวรรณกรรมระดับโลกอายุ 100 ปี สู่ที่สุดแห่งภาพยนตร์ในรอบทศวรรษของ "หม่อมน้อย"
  • "SIX CHARACTERS มายาพิศวง" ระดมซุปตาร์สุดปัง ได้ฤกษ์เข้าฉาย 15 ก.ย.นี้ ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ!
  • "แดง ธัญญา" - "ปอ ปานเลขา" นำทีมดารารับเชิญกิตติมศักดิ์ในฉากใหญ่ SIX CHARACTERS มายาพิศวง
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :