อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจของคุณในการทำหนังเรื่องนี้
ปี 2007 ผมได้อ่านหนังสือชื่อ Sightseeing เขียนโดย รัฐวุฒิ ลาภเจริญทรัพย์ ในตอนนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้ดูหนัง ผมนึกถึงแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า เสียงเครื่องยนตร์มอเตอร์ไซค์ กลิ่นน้ำมัน และสีสันต่างๆ มันเป็นโลกที่ผมเคยสัมผัส ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง และในที่สุดผมก็อยากจะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่านทางภาพยนตร์
ความท้าทายอะไรที่คุณที่เจอในการนำหนังสือเล่มนี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์
ในตอนที่ผมส่งบทร่างแรกๆให้เพื่อนช่วยอ่าน ก็มีบางส่วนที่เพื่อนๆไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อน ผมจึงคิดว่าคงต้องตัดข้อมูลต่างๆจากหนังสือต้นฉบับออก และเขียนเรื่องที่ทำให้คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือเข้าใจได้ พอทิ้งทุกอย่างไปมันทำให้ผมได้รับอิสระมากขึ้น ผมเพิ่มตัวละครเข้าไป ขยายแก่นของเรื่อง และสร้างสถานการณ์ ในแบบของผมขึ้นมาเอง
กระบวนการการเข้าคัดเลือกเกณฑ์ทหารในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง
มันเป็นวิธีที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ถ้าคุณเป็นชายไทย พออายุครบ 21 ปี คุณต้องไปรวมตัวกับคนที่มีอายุเท่าๆกันในเขตของคุณ เพื่อทำการจับฉลากที่อยู่ในโถต่อหน้าเพื่อนรุ่นเดียวอีกเป็นจำนวนมาก ถ้าจับได้ใบดำ คุณก็ได้รับการยกเว้นและไม่ต้องเป็นทหาร แต่ถ้าจับได้ใบแดง คุณต้องไปเป็นทหารและรับใช้ชาติเป็นเวลาสองปี ซึ่งไม่เหมือนที่สหรัฐอเมริกา ที่ใช้วิธีอาสาสมัคร หรือที่เกาหลีใต้ซึงทุกคนต้องเป็นทหาร ดูเหมือนว่าการเกณฑ์ทหารในประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับดวงมากกว่า
ก่อนที่จะมาเมืองไทยผมไม่เคยเห็นกระบวนการเหล่านี้มาก่อน และในระหว่างที่ผมเขียนบทผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะใช้วิธีการอย่างไรกับกลุ่มคนข้ามเพศ
พอปี 2013 ผมทำภาพยนตร์สั้นสารคดีชื่อ Draft Day ซึ่งการทำสารคดีชิ้นนี้ช่วยทำให้ผมเข้าใจ และเป็นตัวอย่างที่ผมใช้เพื่อให้ทีมงานเห็นภาพตรงกัน และถ่ายทอดออกมาเป็นฉากเกณฑ์ทหารในภาพยนตร์
ช่วยเล่าถึงขั้นตอนการคัดเลือกนักแสดง คุณหานักแสดงอย่างไร
ริว น่าจะเป็นคนแรกๆที่เข้ามาทดสอบบท เราให้เขาลองเล่นซีนอารมณ์และเขาสามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เราคิดว่ามันไม่น่าจะง่ายขนาดนี้นะ เพื่อนผู้กำกับคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า เขาต้องคัดเลือกเด็กกว่าหนึ่งร้อยคนกว่าจะเจอคนที่เขาตามหา หลังจากที่เราทำการคัดเลือกไปร้อยกว่าคนบ้าง ก็ยังไม่มีใครทำได้ดีกว่าน้องริว สุดท้ายเราก็เลือก ริว ตัวเต็งคนแรกของเรา
อะไรคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างแรกเลยก็คือหนังเรื่องนี้ต้องเป็นหนังไทยเท่านั้น เพราะคัดเลือกทหารด้วยการจับฉลากใบดำใบแดงมีที่นี่ที่เดียว ในปี 2012 ผมเดินทางมากรุงเทพและลงเรียนคอร์สภาษาไทยเพื่อเตรียมความพร้อมของตัวผมเองเพราะ ผมต้องการที่จะอ่านบทและสื่อสารกับนักแสดงเป็นภาษาไทย
ในระหว่างการถ่ายทำ ได้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยและทหารก็ได้ทำการรัฐประหาร ไม่นานหลังจากนั้นก็มีการประกาศกฎอัยการศึก เกิดการประกาศเคอร์ฟิว ผมและทีมงานรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เราไม่แน่ใจว่าจะถ่ายหนังให้จบได้รึเปล่า เพราะว่าตารางถ่ายของเรานั้นติดช่วงเวลาเคอร์ฟิวด้วย
เกมหมากรุกมีความสำคัญอย่างไรในหนังเรื่องนี้
ผมเล่นหมากรุกกับพี่ชาย เขาเป็นคนสอนผมเล่น และผมบอกเขาเสมอว่าสักวันหนึ่งผมจะชนะเขาให้ได้ แต่จริงๆแล้วก็ไม่คิดว่าจะชนะเขาได้ จนวันหนึ่งผมสามารถเอาชนะเขาได้ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วต่อจากนี้จะทำยังไง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามีเป้าหมายเดียวคือเอาชนะพี่ให้ได้ ก็คล้ายๆกัน ในตอนที่โอ๊ตเอาชนะพี่ชายได้ เขาเริ่มมองเห็นจุดอ่อนของพี่ชาย มันเหมือนช่วงเวลาที่ทั้งหวานทั้งขม ช่วงเวลาที่เราเติบโตพอ และตระหนักว่าจากนี้ไปเราต้องเลือกเรียนรู้และตัดสินใจอะไรๆด้วยตัวของเราเอง