ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เกาหลี องค์ชายอี บังวอน บุตรชายคนที่ห้าของพระราชาแทโจได้ร่วมมือกับพระบิดาในการก่อตั้งราชวงศ์โจซอน แต่เมื่อถึงคราวที่พระบิดาแต่งตั้งมกุฏราชกุมาร องค์ชาย บังซ็อก กลายเป็นผู้ที่ครอบครองตำแหน่งนี้ไปโดยได้รับการสนับสนุนจากขุนนาง จอง โดจอน จนกระทั่งในปี 1398 องค์ชายบังวอนจึงก่อปฏิวัติ แล้วสังหารองค์ชายบังซ็อกและจอง โดจอน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเรียกว่า "การปฏิวัติครั้งแรกขององค์ชาย" และในปี 1400 องค์ชายบังวอนก็ก่อปฏิวัติครั้งที่สองซึ่งในที่สุดเขาได้ครองราชบัลลังก์ในนามใหม่ว่าพระราชา แทจอง พระราชาองค์ที่สามแห่งราชวงศ์โจซอน
สำหรับในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเล่าเรื่องผ่านตัวละครสมมตินามว่า คิม มินแจ ยอดขุนพลผู้เป็นลูกเขยของขุนนางจอง โดจอนและเคยเป็นเพื่อนสนิทเคียงบ่าเคียงไหล่ขององค์ชายบังวอนในการก่อตั้งราชวงศ์โจซอน แต่สุดท้ายมิตรภาพก็ต้องแตกหักเพราะอำนาจการเมืองขององค์ชายบังวอน ขณะเดียวกัน จิน ลูกชายของมินแจก็กำลังประพฤติเหลวแหลก จนกระทั่งสาวงามนามว่า คาฮี จึงใช้เสน่ห์ของเธอล่อลวงทั้งจินและมินแจให้ติดกับดักเพื่อทำลายชีวิตครอบครัวมินแจ
เพราะบทบาทที่เข้มข้นทั้งเชิงประวัติศาสตร์และจิตวิทยาจึงท้าทายดารานำทั้ง 4 อย่างมากซึ่งนับเป็นการฉีกบทบาทครั้งสำคัญของพวกเขาก็ว่าได้ ชิน ฮาคยอน ดาราชายเจ้าบทบาท ขาประจำของ ปาร์ก ชานวุก ผู้กำกับหนังระดับนานาชาติอย่าง Sympathy for Mr.Vengence, Thirst และ Joint Security Area เผยว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เล่นหนังย้อนยุคและต้องรับบทเป็นแม่ทัพมินแจผู้กล้าหาญ ฮาคยอนจึงต้องฟิตร่างกายเพิ่มกล้ามเนื้อและฝึกทักษะการใช้อาวุธภายใน 3 เดือนก่อนเปิดกล้อง ที่สำคัญเขายังเล่นฉากเลิฟซีนร้อนแรงกับคาฮี ซึ่งรับบทโดยดาวรุ่งสาว คัน ฮันนา อีกด้วย ผลที่ได้ในหนังอาจจะฉีกภาพลักษณ์หนุ่มมาดซื่อไปอย่างสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับ จางฮยอก ที่เคยโด่งดังจากหนังตลกอย่าง Volcano High และ Windstruck ครั้งนี้เขาต้องสวมบทเป็นองค์ชายบังวอน จอมกระหายอำนาจและไร้ความปรานี จางฮยอกจึงต้องฝึกฝนการต่อสู้และขี่ม้าเพื่อเพิ่มความสมบทบาทในหนัง และดาวรุ่งหนุ่ม คัง ฮานึล ที่ลบภาพหนุ่มแสนดีจากซีรี่ส์สุดฮิต The Heirs มาเป็นองค์ชายจิน ผู้มัวเมาในกามารมณ์ ที่สำคัญหญิงสาวผู้เป็นตัวแปรสำคัญต่อชีวิตและอำนาจของหนุ่มๆทั้งสามคนอย่างคาฮี ก็ได้คัง ฮันนามาสวมบทซึ่งถือเป็นบทนำครั้งแรกในชีวิตครั้งใหญ่ เพราะเธอต้องเข้าถึงพลังการแสดงทุกบททุกฉากรวมถึงฉากเต้นรำที่เธอต้องฝึกเป็นเดือนก่อนเปิดกล้องและฉากเลิฟซีน
เนื่องจากหนังเรื่องนี้อิงจากประวัติศาสตร์ของเกาหลี สมัยราชวงศ์โจซอน การออกแบบงานสร้างจึงสำคัญอย่างยิ่งซึ่งการออกแบบและการจัดวางองค์ประกอบจะมีแนวคิดหลัก 3 อย่างคือ ไฟ จะใช้กับการจัดแสดงและเงาซึ่งสื่อถึงแรงปรารถนาของตัวละคร อย่างที่สองคือ ลม ซึ่งสื่อถึงความรัก แรงเสน่หาระหว่างกาฮี กับ มินแจ และสุดท้ายคือสีขาว แสดงถึงความบริสุทธิ์และไร้เดียงสา
นอกจากนี้งานออกแบบเครื่องแต่งกายก็ต้องพิถีพิถัน ครั้งนี้ได้ ชิม ฮยอนซ้อบจากหนังขวัญใจผู้ชมและนักวิจารณ์ตลอดกาลอย่าง King and the Clown มาออกแบบเสื้อผ้าซึ่งโทนสีเสื้อผ้าของตัวละครก็สื่อบุคลิกของแต่ละคนได้เด่นชัด สีน้ำเงินและดำทึบของแม่ทัพมินแจคือความจริงใจและความจงรักภักดีต่อพระราชา สีแดงขององค์ชายบังวอนคือความทะเยอทะยาน สีพาสเทลของจินแสดงถึงความไร้ระเบียบ และโทนสีเรียบง่ายและสีทึบของคาฮี คือความเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตที่รอปะทุออกมา
Empire of Lust กำกับการแสดงโดย อัน ซางฮุน ผู้ที่ฉีกแนวจากหนังเขย่าขวัญบล็อกบัสเตอร์อย่าง Arang และ Blind มากำกับหนังดราม่าประวัติศาสตร์ย้อนยุคเป็นครั้งแรก แต่เขากล่าวว่าหนังเรื่องนี้คือหนังดราม่าที่สำรวจสภาพจิตใจของตัวละครอย่างเข้มข้นและร้อนแรงเท่าที่เคยทำมา
เตรียมพบกับความดราม่าประวัติศาสตร์ย้อนยุค Empire of Lust: คาฮี ปรารถนาโค่นบัลลังก์ 23 กรกฎาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์