ทำไมต้องเป็น Yes Or No 2.5
จริงๆแล้วเรื่องราวไม่ได้ต่อเนื่องจากภาค 1 และ 2 แต่จะเป็นเรื่องราวใหม่ บทใหม่ แต่ที่ยังใช้ชื่อ Yes Or No อยู่เพราะว่าต้องการจะบอกคนดูว่า คำว่า Yes หรือ No มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เลยอยากทำให้เป็นหนังรักที่ไม่จำกัดเพศ ใครๆก็ดูได้ ซึ่งในอนาคต ก็เป็นไปได้ที่จะมี Yes Or No 2.6 หรือ 2.7
ภาคนี้มุมมองความรักเป็นแบบไหน
ในภาค 2.5 นี่วางไว้ 2 แบบคือคู่ของติ๊นากับปีเก้ (ไวน์และพิม) จะดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย อยากให้ดูโตขึ้นตามวัยของเขา จะเป็นมุมที่จริงจัง มีปัญหาต่างๆของชีวิต พูดถึงเรื่องสังคม ครอบครัว ต้องผ่าผันอุปสรรคต่างๆ ทำให้ดูต้องรับผิดชอบในส่วนต่างๆที่เกิดขึ้นในเรื่อง ส่วนคู่นันกับหงหยก (พิมกับฟ้า) เราก็เอามาเฉลี่ย เพราะอาจจะหนังในคู่นั้นอยู่แล้ว ในมุมคู่นี้ก็เลยให้ดูเป็นคววามรักแบบวัยรุ่น มีกุ๊กกิ๊กเยอะ ถ้าคนที่ได้ไปดู แง่คิดของตัวละคร ก็จะได้เห็นความรักในแบบที่เป็นการยอมรับ ยอมรับการเป็นตัวของตัวเอง
มุมมองระหว่างความรักกับความถูกต้อง
คือความรักมันใช้หัวใจ แต่ความถูกต้องอาจเป็นเรื่องของทางสังคม จริยธรรมต่างๆ ซึ่งมันก็แตกต่างกัน ความรักที่ดีมันต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง ไม่ต้องไปแย่งใคร หรือไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนใดๆ แต่บางครั้งมันก็เลือกไม่ได้
กลับมา...เพื่อรักเธอ ถ้าในมุมมองคุณ คิดว่าสามารถกลับมารักกันใหม่ได้ไหม
ขึ้นอยู่กับว่าเลิกกันไปเพราะเหตุผลอะไร ถ้าเลิกกันด้วยเหตุผลที่อมรับได้ ก็ยังสามารถมีโอกาสกลับมารักกันใหม่ได้
คนดูจะได้อะไรกลับไปจากถาพยนตร์เรื่องนี้
สำหรับแฟนคลับก็คงจะจิ้นกันจนจิกหมอมเลยแหละ อาจต้องขอโทษทางโรงที่อาจจะจิกกันจนหมอนขาด(หัวเราะ) สำหรับคนที่ชอบหนังรัก คุณก็จะมีความสุขไปกับมัน ตามตัวละครและเนื้อหา ส่วนจะได้อะไรเพิ่มเติม สุดท้ายคือในเรื่องนี้จะบอก เรื่องการยอมรับตัวเอง ยอมรับใรความเป็นคุณ เพราะคู่พระนาง เขาโดนการยอมรับทั้งจากสังคม และครอบครัว ทำให้ต้องเลิกรากันไป แต่สุดท้ายเมื่อยอมรับตัวเองได้ เรื่องราวมันถึงคลี่คลาย อีกคู่หนึ่งก็เหมือนกัน ในเมื่อคุณรักกัน แต่ต่างฝ่ายต่างปากแข็ง ไม่ยอมรับว่ารักกัน สำหรับคนดู เมื่อมองย้อนหลับมามองตัวเอง เมื่อมีปัญหาที่ต้องเผชิญกับชีวิต คุณจะทำอย่างไรกับมัน ยอมรับการเป็นตัวคุณ เพื่อที่จะบอกทุกคน เพื่อให้มันคลี่คลายหรือเปล่า