ตลอดระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 10 ปีที่ผ่านมา กับการทำงานในโปรเจกต์ภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ อย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ให้อะไรกับ พ.อ.วินธัย สุวารี บ้าง
พ.อ.วินธัย : "สิ่งแรกเลยก็คือให้ความรู้ ทางด้านประวัติศาสตร์ การทำ activities ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อาวุธโบราณ การใช้ม้า แล้วก็ประเพณีการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อน ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องทำการจำลองตัวเอง ย้อนยุคไปถึง 4-500 ปี ผมว่ามีน้อยคนที่จะได้สัมผัสโอกาสเหล่านี้ ที่สำคัญคือเราได้เพื่อน เพราะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่ามีนักแสดงเมนหลายร้อยคน แล้วยิ่งเราเองได้มีโอกาสสัมผัสมาตั้งแต่ภาค 1 ตั้งแต่ก่อนเตรียมการถ่ายทำอีก ผมว่าทำให้ผมมีญาติพี่น้อง และครอบครัวที่ใหญ่เพิ่มขึ้นมาก ก็ถือได้ว่าเป็นนักแสดงระดับสุดยอดของประเทศ ที่มารวมอยู่ที่นี่ จากหลายยุคด้วย พวกเราจะดีใจที่สุดกับนักแสดงอาวุโส อาดามพ์, อายะ อย่าง "พี่เอก-สรพงษ์" เราถือว่าคุ้นแล้ว เรายังมีโอกาสได้เห็นอยู่บ่อยครับ ดีใจที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน มันเป็นบรรยากาศของครอบครัวจริงๆ หนังของเรามีท่านมุ้ยเป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัว แล้วพวกเราทุกคนก็ให้ความเคารพเอ็นดูซึ่งกันและกัน ตรงนี้ในความเป็นมิตรที่เราได้ต่อกันผมว่าเป็นสิ่งที่หายาก มันเป็นอีกสังคมหนึ่งได้ในสิ่งที่คนอื่นยากที่จะไปคาดเดาอย่างแน่นอนครับ"
ความน่าสนใจของอวสานหงสาภาคสุดท้ายนี้
พ.อ.วินธัย : "เป็นตอนที่ในส่วนตัวของผมแล้วมันน่าสนใจที่สุด เพราะว่าจะเป็นการรวมอรรถรสหลายๆ อย่างเข้าไว้ด้วยกัน สำหรับบทของ พระเอกาทศรถ ก็จริงๆ แล้วเป็นช่วงรัชสมัยสุดท้ายของพระนเรศวรอยู่แล้ว ความผูกพันระหว่างพี่กับน้อง ความรักที่มีถูกนำเสนอ และสะท้อนออกมาให้เห็นในช่วงนี้ และในวาะสุดท้ายของพี่ พระเอกาทศรถก็ค่อนข้างมีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ต่างจากปุถุชนทั่วไป และด้วยความที่เป็นคนที่มีความผูกพันแล้วก็รักพี่ชายมาก เพราะฉะนั้นเมื่อตอนสุดท้ายของหนัง ก็แน่นอนที่สุด ก็เป็นความเสียใจที่มากมาย ก็ต้องไปดูในภาพยนตร์ครับ"
เรื่องราวของ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคอวสานหงสา
พ.อ.วินธัย : "หลังจากยุทธหัตถีแล้วก็ยังมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจก็คือ ตอนช่วงที่พระสุพรรณกัลยาสิ้นพระชนม์ ความเป็นน้องทั้งพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ มองว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม ก็กลับไป คือเรียกว่าไปเอาเรื่อง ที่จริงแล้วหงสาเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่มากในยุคสมั้ยนั้น แต่ด้วยความที่ด้วยพระนเรศวรที่มีความห้าวหาญ และพระเอกาทศรถที่มีความสุขุมอยู่บ้างทั้งสองพระองค์ก็ตัดสินใจที่จะไป โดยในที่ขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เมืองหงสานั้นเป็นอย่างไร และเมื่อไปถึงก็อาจจะถือว่าเป็นความโชคดีที่เมืองหงสาเอง ก็ถือว่าเพลี่ยงพล้ำด้วยน้ำมือของกลุ่มชนของเมืองอื่นอยู่แล้ว ก็ทำให้ตรงนี้เป็นอะไรที่ง่ายยิ่งขึ้นในการที่จะกำจัดหงสาไปนะครับ จากนั้นเองก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เพราะว่าต้องการไปตามตัวของพระเจ้านันทบุเรง ที่เราคิดว่ารังแกกลุ่มชนของเรา ก็ตามไปจนถึงตองอู หลังจากนั้นก็เป็นช่วงสุดท้ายที่พระนเรศวรคิดว่าถ้ายังเหลืออีกบางเมืองที่มีลักษณะที่เป็นภัยคุกคาม ท่านก็อยากที่จะไปทำการรบครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บังเอิญท่านก็ไปสิ้นพระชนม์ซะก่อน แต่ที่สำคัญหลังจากนั้นมา ตามประวัติศาสตร์ถือว่าเราว่างเว้นจากศึกมาก็น่าจะเกือบ 200 ปี ถ้าเทียบกับคนสมัยก่อนก็เทียบเท่าได้กับ 3 ช่วงคน"
ทราบมาว่าในภาคนี้เราจะได้เห็นการแสดงของผู้พันต๊อด ในบทบาทของพระเอกาทศรถ ที่ชัดเจนจัดเต็มมากขึ้นทั้งแอ็กชั่น และดราม่าเลยทีเดียว
พ.อ.วินธัย : "ครับก็ถือว่าเยอะอยู่ครับ แอ็กชั่น และบทเศร้าก็ได้เห็น แล้วก็อาจจะมีบทกึ่งน่ารักๆ ให้ได้เห็นบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นหนังแอ็กชั่นผสมกับการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ และแอบสอดแทรกเรื่องของประเพณีวัฒนธรรมเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งกายของชนเผ่าหรือของชนกลุ่มก็ดี และเราก็ได้เห็นบทบาทเต็มๆ ของชนชาวรามัญ หรือที่เราเรียกว่ามอญ ซึ่งสมัยนี้เราก็ยังได้ยินอยู่ แต่ว่าในสมัยก่อนเขาค่อนข้างมีความความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเมืองอโยธยาเรา ภาคนี้ก็ได้เห็น แล้วก็โดยสรุปโดยเฉพาะผมเองก็ค่อนข้างได้เล่นครบอยู่หลายบทเหมือนกัน แต่การเล่นไม่ได้โจ่งแจ้งมาก แต่ว่าคนดูก็จะทราบ"
บทบาทและความสำคัญในเหตุการณ์ต่างๆ ของพระเอกาทศรถในอวสานหงสา
พ.อ.วินธัย : "เรื่องราวของพระเอกาทศรถที่จะเกิดขึ้นในเหตุการณ์ภาคนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่กองทัพของพระนเรศ กับพระเอกามาไกลจากอยุธยา ตอนที่เราจะตามเหมือนมาแก้แค้น จริงๆ แล้วด้วยหนทางที่เราจะไปหงสาวดีก็ถือว่ายากแล้ว แต่เมื่อพระนเรศวรยังมีพระบัญชาด้วยความโกรธที่จะต้องตามไปตองอูอีก คือต้องการจะเห็นจะพบตัวพระเจ้านันทบุเรงให้ได้ เพราะต้องการที่จะเอาเรื่องจริงๆ แต่ที่นี้หนทางที่จะไปจากหงสา ไปถึงตองอูมันไม่ง่าย ทัพสมัยก่อนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเสบียง ถ้าไม่มีเสบียงกำลังพลจะไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอ อาจจะไปได้ แต่ว่าศักยภาพในการที่จะต่อสู้จะน้อยมาก ซึ่งตรงนี้พระเอกาก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่พระนเรศวรก็คิดในมุมคือต้องการจะไปเพียงอย่างเดียว พระเอกาก็ห่วงตรงนี้ ปรากฏว่าขบวนเสบียงในตามแผนเดิมที่จะเข้ามาสมทบก็ไม่ได้มา ถูกยะไข่ปล้น เป็นกลุ่มคนเหมือนพวกที่แสวงหาผลประโยชน์บนการทำงานของผู้อื่น ก็จะเข้าไปเกี่ยวพันกับกลุ่มชนอีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือกลุ่มไพร่พลของชาวมอญก็มีตัวละครใหม่ขึ้นมาก็คือ เม้ยมะนิก (ปันปัน-เต็มฟ้า) เป็นลูกเจ้าเมืองมอญนะครับ คือเมืองเมาะตะมะ ก็ยินดีที่จะไปร่วมด้วย เพราะถือว่ามีศัตรูคนเดียวกัน ในขณะที่เจอกันพระเอกาทศรถก็ชื่นชอบในคนเก่ง มีความรู้สึกว่าเม้ยมะนิกมีคุณลักษณะพิเศษเหนือกว่าผู้หญิงทั่วๆ ไป ก็รู้สึกปิ๊งตามภาษาวัยรุ่นก็คือชอบ คือชอบในความเป็นตัวตนของเขา ชอบในความกล้าและในความเก่ง ก็เลยได้ไปทำการรบด้วยกัน ช่วงที่อยู่ก็ได้รู้จักตัวตนกัน ก็อาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในภาพยนตร์ก็ทำให้เห็นว่า 2 คนนี้ก็มีความผูกพันกันนะครับ"
การร่วมงานกับน้องปันปัน เต็มฟ้าในบทเม้ยมะนิก
พ.อ.วินธัย : "นักแสดงใหม่ในภาคอวสานหงสา น้องปันปัน เป็นคนที่น่าจะเป็นเด็กรุ่นใหม่ ที่มีขีดความสามารถ แล้วเรียนรู้เร็ว ที่ผมประทับใจเลยนะ น้องเป็นคนที่ค่อนข้างกล้าครับ ผมเป็นคนที่ชอบสังเกตคน ผมมีความรู้สึกว่าอย่างม้าส่วนใหญ่คนจะกลัว ปันปันก็ไม่ได้เป็นคนที่สัมผัสม้ามาเยอะนะ แต่ถ้าอยู่บนหลังม้าเขาแสดงออกว่าเขาจะเป็นผู้นำจริงๆ ในส่วนตัวของผมแล้ว สำหรับเทคนิคการขี่ม้าก็คือเราต้องเป็นผู้นำนะครับ ม้าต้องเป็นผู้ตาม ปันปันมีลักษณะแบบนั้น ไม่กลัว เขาไม่กลัวว่าจะตกจะหล่น ม้าวิ่งเร็ววิ่งช้า เขาสู้ การที่จะอยู่บนหลังม้าได้มันก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายพอสมควร ซึ่งเขาเองถือว่ามีเวลาอยู่กับม้าน้อยมาก เมื่อเทียบกับพวกพี่หรือกับนักแสดงคนอื่นๆ ตรงนี้สิ่งที่เขาแสดงให้เห็นก็คือว่าเขามีใจครับ นี่คือสิ่งที่พี่ๆ หลายคนประทับใจ ผมยังมีความรู้สึกเองนะถ้าน้องปันปันได้เข้ามาสัมผัสกับตัวภาพยนตร์นี้ ก่อนหน้านี้ คือถ้าพูดถึงเรื่องแอ็กชั่นนี่ ผมว่าคงต้องไปกันชนิดที่ว่าดึงกันไม่อยู่เลย เขามีใจและเขามีพรสวรรค์ทางด้านนี้ ผมเพิ่งเห็น และก็งงอยู่เลย และก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอและมีโอกาสได้ร่วมงานกับน้องครับ"
เห็นว่ามีฉากที่ต้องมีคิวบู๊แอ็กชั่นกับน้องปันปันด้วย และไม่เพียงเท่านั้นมีปีเตอร์ นพชัยด้วย
พ.อ.วินธัย : "ใช่ครับคือน้องเล่นได้ วันนั้นจะเป็นวันแรกที่เป็นวันมหัศจรรย์ คือว่ามีผู้ชายถูกผู้หญิงเตะต่อยถึง 2 คน นอกจากตีลังกา แล้วก็ยกขา คือสามารถทำการต่อสู้โดยการใช้ขาได้ดี ก็เลยทำให้ทางครูก็เลยดีไซน์ท่าการต่อสู้ต่างๆออกมาให้เหมาะสมกับเขา แต่ตอนนั้นก็ค่อนข้างสนุกนะครับ พระราชมนูที่เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของนักรบ นี่ก็ต้องถูกเม้ยมะนิกนี่ทั้งเตะทั้งต่อยจนอ่อนเปลี้ยะหมดแรงกันไปข้างหนึ่ง พระเอกาก็ถือว่าเพลี้ยงพล้ำบ้าง แต่ว่าก็ยังด้วยความเป็นผู้ชายก็เลยอาจจะแสดงความเข้มแข็ง อย่างไรสตรีก็ยังอ่อนด้อยอยู่บ้างก็เอาชนะได้ผู้ชายสองคนรุมผู้หญิงหนึ่งคน"
ฉากสำคัญที่เป็นวันสุดท้ายของการถ่ายทำและเป็นฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ ฉากสวรรคตของพระนเรศวร
พ.อ.วินธัย : "ผมว่ามันหลายอย่างนะ คือทุกคนก็รู้ด้วยว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย มันมีบรรยากาศอื่นๆ เข้าไป แต่มีความรู้สึกว่ามันเป็นวันที่น่าเศร้าวันหนึ่งทีเดียว ตอนนั้นยังคิดอยู่ว่าจะเล่นอย่างไร วันนั้นเป็นวันที่คือพระเอกาทศรถมาจากต่างเมืองเป็นวันสุดท้ายนะครับพระราชมนูไปตาม ไปตามโดยที่ไม่รู้หรอกว่าจะมาทันหรือเปล่าด้วย และมีความรู้สึกว่าพระนเรศวรมีความต้องการที่อยากจะเจอพระเอกาทศรถเป็นครั้งสุดท้าย ถึงแม้ว่าถ้าสมเด็จพระนเรศวรไม่สวรรคตเราก็จะไม่ได้เห็นท่านรบอีกแล้ว เพราะว่าท่านตัดสินใจว่าสมรภูมินี้จะเป็นสมรภูมิสุดท้ายของท่าน ถ้าปราบอังวะได้คิดว่าน่าจะสงบยาว คราวนี้เราน่าจะเป็นอยู่ทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัวทำมาเพาะปลูกเลี้ยงดูคนในสังคมเราด้วยความสุขละนะ ก็อยากจะอยู่แบบนั้น ค้าขายกับใครก็ได้สตางค์ไม่ต้องไปขายใครแล้วถูกเอารัดเอาเปรียบ แล้วก็มาประชวรก่อน ด้วยทัพสมัยก่อนก็แยกกัน พระเอกาทศรถอาจจะไปเมืองฝางเป็นเมืองที่มีพื้นที่ราบเยอะ เข้าใจว่าจะไปเพราะเรื่องการสะสมเสบียงด้วยเพื่อที่จะไปช่วยทัพ แต่พอทราบข่าวว่าพระนเรศวรประชวรด้วยก็มาแบบไม่คิดชีวิต ขี่ม้าสามวันสามคืน สถานการณ์ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นไปได้ยังไง แต่ในช่วงเวลาที่เราถ่ายทำ ก็ถือว่าเป็นองค์ประกอบทั้งหมดที่มันส่งผลต่อกัน แล้วก็คือความผูกพันที่เรามีต่อกัน เราเป็นทีมเวิร์กครับ สมมติกลุ่มฝั่งไทยเราจะเล่นกันสี่ห้าคน (ผู้พันเบิร์ด, ปราบต์, ปีเตอร์, ผู้พันต๊อด) แต่ตอนนี้พี่ต้น (คมกริช) ไม่อยู่ล่ะ เราจะอยู่กันอย่างนี้มานาน วันนี้เป็นวันที่สำคัญมากเลยสำหรับคนดู พวกเราจะต้องทำให้คนไทยทั้งประเทศเห็นว่า ท่านมุ้ยบอกว่าตรงนั้นเป็นบ้านแสนไห้ คือคนนับแสนเลยร้องไห้กัน ตอนนั้นคือการจำลอง เพราะฉะนั้นเราเป็นเพียงแค่คนที่อยู่ในองค์ประกอบเหล่านั้น ผมว่าทุกคนก็เศร้านะครับ ไม่ใช่แค่เพียงนักแสดง ผมว่าตั้งแต่ผู้กำกับฯ ทีมงาน ทีมกล้อง ทีมพรอพ ทีมฉาก ทีมเมคอัพ ผมว่าทุกทีมที่อยู่ตรงนั้นน่าจะทุกคนช่วยกันมาก วันนั้นเป็นวันที่เงียบเป็นที่สุดเลยนะแปลกมาก เป็นวันที่ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย มันเป็นไปโดยอัตโนมัติทุกส่วนเลย ท่านมุ้ยเองก็ค่อนข้างจะพูดน้อย ทุกคนก็ทำการบ้านกันมาเองในระดับหนึ่ง"
รู้สึกอย่างไรที่มีการสร้างภาพยนตร์แอ็กชั่นอิงประวัติศาสตร์อย่างตำนานสมเด็จพระนเรศวร และคิดว่าต่อไปจะมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์แบบนี้อีกมั้ย
พ.อ.วินธัย : "จริงๆ พอเราเข้าไปสัมผัสแล้วมันไม่เหมือนกับที่คนอื่นพูดนะครับ แล้วก็ผมยังคิดว่าถ้าย้อนเวลาไปได้นะ จะทำให้ทุกอย่างให้ดีกว่านี้อีก แต่ว่าเราก็ทำดีที่สุดแล้วนะ คือหลายๆ ท่านคงคิด แต่ก็คงต้องบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ทุกคนมองนะครับ แต่ส่วนหนึ่งเราก็เชื่อว่าทุกคนทำดีที่สุดแล้ว เพราะการที่จะทำหนังที่ย้อนกลับไป 4-500 ปีไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วผู้ชมนี่ได้ดูทุกอย่างเลยนะครับ ความสนุก ประวัติศาสตร์ ได้เห็นงานสถาปัตย์ งานเสื้อผ้าของคนสมัยก่อน เห็นประเพณีของคนสมัยก่อน มันเป็นการรวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในตัว สิบปีที่แล้ววันแรก ผมไม่ได้คิดแบบนี้เลยนะ แต่พอมาถึงวันนี้วันสุดท้าย มันคิด แล้วถือว่าโชคดีมากที่เราได้มีส่วนร่วม และองค์ประกอบของหนังเรื่องนี้เป็นบูรณาการ การมีส่วนร่วมของคนหลายกลุ่มมาก ภาคราชการ กองทัพบก และกองทัพบกก็เป็นหน่วยงานแรก ที่เริ่มต้นมากับรัฐบาลตามลำดับมา แล้วก็มีองค์กรหน่วยงานก็เยอะมากคือพอขึ้นเครดิตก็เยอะมาก ตัวนักแสดงก็เยอะมาก ทีมงานก็เยอะมากนะครับ หลายๆ คนด้วยข้อจำกัดบางอย่างก็มีทั้งเดี๋ยวต้องไปทำอย่างอื่น แต่ก็กลับมาเพราะด้วยความรักกัน ก็เลยยังคิดอยู่ว่าเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน ภาพยนตร์เราอาจจะเห็นเป็นแค่ 2-3 ชั่วโมง แต่ว่าตัวหนังที่เราถ่ายกันบางทีถ้านับแล้วมันจะมากกว่านี้หลายเท่า เพราะว่ามันทำยากอยู่ มันปราณีตอยู่พอสมควร ถ้าในอนาคตถ้าได้เห็นอีกจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ถ้ามีโอกาสพวกเราที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์กันมาทุกคนนะครับ ก็ยังสามารถที่จะมีข้อแนะนำอะไรดีๆ ได้ แต่ก็ยังคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นยากเหมือนกันครับถ้าเกิดขึ้นได้เราก็ดีใจเหมือนกัน"
สุดท้ายนี้อยากฝากอะไรสำหรับผู้ที่รอชมภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา
พ.อ.วินธัย : "ผมว่าเรามีแฟนหนังที่ชอบหนังของเราอยู่ก็ไม่มากไม่น้อย แต่ผมว่าตอนนี้แหละเป็นตอนสุดท้ายแล้วที่ท่านรอคอย ที่ท่านก็จะได้ชมกัน ก็อยากจะเชิญชวนให้ พี่ป้า น้าอา ญาติพี่น้องก็ถ้ามีโอกาสก็มารับชมกันที่ 9 เมษายน หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณได้เห็นว่ามีอะไรที่น่าสนใจและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง และคิดว่าประโยชน์ที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้ก็มีอยู่พอสมควรนะครับ ก็ฝากไปชมกันเยอะๆ แล้วกันนะครับ ขอบคุณครับ"