It’s been a long day without you my friend
เหนื่อยเหลือเกินวันนี้ เมื่อไม่มีนาย เพื่อนเอ๋ย
And I’ll tell you all about it when I see you again
แล้วจะเฉลยให้ฟัง เมื่อเจอกันครั้งใหม่
We’ve come a long way from where we began
จากวันเริ่มเดินทาง เราต่างมากันไกล
Oh I’ll tell you all about it when I see you again
โอ้ แล้วจะเล่าให้ฟัง เมื่อเจอกันครั้งใหม่
When I see you again
เมื่อได้เจอกันอีกครั้ง
ข้างบนตรงที่เป็นภาษาอังกฤษนั้นคือเนื้อเรื่องตอนต้นของเพลง “See You Again” ประกอบภาพยนตร์ Furious 7 ที่ขับร้องท่อนแร็พโดยวิซ คาลิฟา โดยมีชาร์ลี พุท มาฟีเจอริ่งครับ เป็นเพลงที่ใช้ปิดหนังที่ดีมากๆ และสร้างสรรค์มาอย่างเหมาะสมให้กับอารมณ์ตอนจบ ซึ่งยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ได้ปล่อยมิสิควิดีโอเพลงนี้ออกมาแล้ว โดยมีฉากตอนจบของหนังมาประกอบ (ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้ชมหนังแล้วยังไม่เห็นอยากเห็นฉากนี้ก่อนในโรง ก็อย่าเพิ่งคลิกดูครับ)
ไมค์ โนบล็อค ประธานฝ่ายสิ่งตีพิมพ์และเพลงประกอบภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส พูดถึงแนวทางการทำเพลงประกอบสำหรับ Furious 7 ในบทความของฮัฟฟิงตันโพสต์ว่า “มัน มีความรู้สึกของการเป็นครอบครัวแท้ๆ และจริง อยู่ทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้าในภาพยนตร์ มันเป็นขั้นตอนที่สะเทือนอารมณ์ มันไม่ควรปฏิบัติเหมือนเป็นของเพื่อการค้า เราจึงไม่เคยปฏิบัติต่อมันเหมือนเป็นการค้า เราจัดการมันอย่างเป็นของที่อ่อนไหวมากๆ”
โนบล็อคยังพูดถึงแนวทางอารมณ์ของเพลงว่า หลังจากหนังที่ตื่นเต้นมาเกือบสองชั่วโมง ก็ต้องมีฉากที่สร้างสมดุลทางอารมณ์ “มัน ต้องซาบซึ้งและเร้าอารมณ์อย่างเหมาะสม แต่เราก็ยังอยากให้ผู้ชมลุกออกจากที่นั่นในโรงหนังด้วยความรู้สึกดี เราไม่อยากได้อารมณ์ที่ทำให้อารมณ์ทั้งหมดของการชมภาพยนตร์หายไป และเราก็ไม่อยากให้ผู้ชมออกจากโรงด้วยอารมณ์ที่เศร้า หรือรู้สึกเหมือนไปงานศพของใครมา การสร้างเพลงให้เหมาะสมกับฉากนั้นจึงเป็นหัวใจสำคัญ ต้องเป็นเพลงที่ซื่อสัตย์และจริงใจที่เน้นย้ำการเฉลิมฉลองชีวิตของพอล เพื่อเป็นเพลงที่สดุดีให้แก่สิ่งนั้น เราทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้ออกมา”
ผู้กำกับเจมส์ วาน เล่าถึงฉากจบที่เพลงนี้มาประกอบด้วยว่า “เรา รู้ว่าการไปส่งเพื่ออำลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา เรารู้ว่าเราต้องเดินหน้าต่อ ไม่ใช่เพื่อทำหนังให้จบ แต่เพื่อพอล ทุกอย่างที่เราทำ ทุกความคิด ทุกการตัดต่อ ทุกแนวคิด ก็เพื่อการสร้างฉากจบที่เหมาะสมและเป็นการอำลาอย่างสมเกียรติต่อตัวละครของ พอล และสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง”
ที่มา : jediyuth