ระหว่างที่การถ่ายทำ Fast & Furious 7 กำลังดำเนินไปในเดือนพฤศจิกายน ปี 2013 ได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นครอบครัวของเราสูญเสียพ่อ ลูกชายและพี่น้อง ผู้เป็นที่รัก และโลกใบนี้ก็ได้สูญเสียเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ผู้มีพรสวรรค์ และผู้ใจบุญ พอล วอล์คเกอร์ ไป ผู้โชคดีที่เคยร่วมงานกับวอล์คเกอร์ในแฟรนไชส์ Fast & Furious ทั้งห้าภาค ต่างก็มีความรู้สึกเหมือนกับทุกคนที่เคยได้สัมผัสกับชีวิตของเขาทั้งในและนอกจอ ความสูญเสียครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก
ผู้อำนวยการสร้างมอริทซ์ ผู้ที่อยู่เคียงข้างวอล์คเกอร์ ตั้งแต่ที่เขาแจ้งเกิด ร่วมกับดีเซล, บรูว์สเตอร์และโรดริเกซ เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า “หลังจากการจากไปอันน่าเศร้าของ พอล เพื่อนและเพื่อนร่วมงานที่แสนดีของเรา เราก็คุยกันว่าเราจะหยุดถ่ายทำหนังเรื่องนี้ แต่หลังจากผ่านไปซักพัก เราก็คิดได้ว่าพอลคงอยากให้เราทำงานต่อจนเสร็จ ผมกับวินคุยกัน และเราก็เห็นพ้องต้องกันว่า เราต้องทำทุกอย่างเพื่อสร้างหนังเรื่องนี้ให้เสร็จเพื่อเขา เราต้องเดินหน้าต่อไปเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เราเคารพในตัวพอล ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ในฐานะพ่อ และเพื่อน และเราก็จะไม่นำเสนออะไรที่จะสั่นคลอนสิ่งเหล่านั้นบนหน้าจอ
“แล้วเราก็คิดได้ว่าเราจะถ่ายทำ Fast & Furious 7 จนจบได้ยังไง” ผู้อำนวยการสร้างกล่าวต่อ “เราถ่ายทำหนังส่วนใหญ่กับพอล แต่เราก็สงสัยว่าเราจะทำยังไงให้มันเวิร์ค ผมต้องบอกว่าเขาคอยดูแลเราอยู่ ด้วยฟุตเตจที่เรายังไม่ได้ใช้จากภาคก่อนๆ และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เราก็เลยสามารถสร้างหนังเรื่องนี้จนจบ ภายใต้แรงบันดาลใจจากพอล และสร้างบทส่งท้ายในโลกภาพยนตร์ที่เพอร์เฟ็กต์ให้กับเขาและตัวละครที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดของเขา หนังเรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์ตำนานของเขาครับ”
ดีเซลพูดแทนเพื่อนนักแสดงและทีมงานของเขาถึงสาเหตุที่ Fast & Furious 7 จะต้องเป็นการเฉลิมฉลองชีวิตของวอล์คเกอร์ว่า “พอลเป็นเหมือนพี่น้องของผม ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว Fast ทั้งลึกซึ้งและเต็มไปด้วยความหมายและตัวละครของเราก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อกันและกัน แรงสนับสนุนและความรู้สึกแบบครอบครัวในหนังเรื่องนี้ส่งผลต่อความรู้สึกนอกจอของเราด้วย กับหนังเรื่องนี้ คนทั้งโลกจะได้รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราครับ”
ด้วยความช่วยเหลือที่เอื้อเฟื้อจากคาเล็บ วอล์คเกอร์และโคดี้ วอล์คเกอร์ น้องชายของพอล วอล์คเกอร์ ที่มาแสดงแทนเขา การปรากฏตัวบนหน้าจอครั้งสุดท้ายของเขาจึงกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ จอร์แดนา บรูว์สเตอร์ ผู้รับบท ไมอา ทอร์เร็ตโต้ เคียงข้างวอล์คเกอร์ มาตลอด 14 ปีที่ผ่านมา ยินดีต้อนรับเพื่อนเก่าของเธอสู่กองถ่ายและเล่าถึงเหตุผลที่กองถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นสถานที่ของครอบครัว “มันพิเศษสุดจริงๆ ค่ะ...และก็เซอร์เรียลด้วย มีอยู่ตอนหนึ่ง ฉันขับรถกอล์ฟอยู่กับลูกชายฉัน แล้วฉันก็นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ระหว่างถ่ายทำหนังภาคแรก ที่พอลแบกลูกสาวเขาไว้บนบ่าเดินเข้ากองถ่ายมา มันเป็นเหมือนวงกลมเดินมาครบรอบค่ะ เราต่างก็มีสายสัมพันธ์ที่พิเศษสุดระหว่างกันจริงๆ”
คริส มอร์แกน ผู้รับหน้าที่ผู้เขียนเรื่องราวของแฟรนไชส์นี้ตั้งแต่ Tokyo Drift สรุปถึงความภาคภูมิใจของทีมงานและความมุ่งมั่นของพวกเขาในการสร้างหนทางที่น่าพึงพอใจให้แฟนๆ ได้จดจำและชื่นชมวอล์คเกอร์ว่า “การสูญเสียสมาชิกครอบครัวเราระหว่างการถ่ายทำเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่การได้ทุกคนมาร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อสร้างหนังเรื่องนี้ให้สำเร็จเป็นเรื่องที่งดงาม เป็นสิ่งที่เราทุกคนภูมิใจ ผมรู้ว่าพอลคงจะต้องชอบแน่ๆ”