หายหน้าไปจากวงการหนังไทยอยู่พักใหญ่ และไปรับงานเล่นหนังต่างประเทศ ที่เรียกได้ว่า โกอินเตอร์บนเส้นทางอาชีพนักแสดงของ จา พนม และล่าสุดได้มีโอกาสเจอ จา พนม ในงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ Skin Trade คู่ซัดอันตราย งานนี้หนุ่มจาก็มาอัพเดตเรื่องผลงานและชีวิตหลังโกอินเตอร์ให้ฟังว่า...
“2 ปีแล้วมั้งครับ คิดถึงสื่อมวลชนทุกท่านครับก็นึกถึงบรรยากาศเก็บความทรงจำที่ดีๆ ความรู้สึกนั้นก็กลับคืนมา วันนี้เห็นทุกคนมีรอยยิ้มและเห็นทุกคนมาร่วมแสดงความภาคภูมิใจด้วยกันต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านนะครับที่ได้มาร่วมแถลงข่าวในวันนี้ Skin Trade ท่านคือผู้ที่จะทำให้หนังประสบผลสำเร็จนะครับ ก็อยู่ที่สื่อมวลชนด้วยนะครับ หายไป 2 ปีผมก็ไปต่างประเทศครับ ไปเตรียมงานทำหนังแล้วก็ไปเรียนภาษาอังกฤษ อยู่ที่แอดแลนต้าร์ แล้วก็ไปลอสเองเจลิส ใช้ชีวิตที่โน่นเรียนภาษาที่โน่น ในกองถ่ายก็มีฝึกภาษา แล้วก็ซ้อมคิวแอ็กชั่น”
“เรื่องสัญญายังไม่ได้เซ็นครับ ผมก็มีผู้ใหญ่ปรึกษาที่ให้การสนับสนุนนั่นก็คือคุณ ไมเคิล เซลบีย์ ที่คอยให้คำปรึกษาแล้วก็ให้โอกาสเราได้ไปทำงานที่ฮอลลีวูด กับเส้นทางโกอินเตอร์ก็เป็นไปได้ดีมากครับชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขดี เราได้โอกาสและเราก็ได้เปิดโอกาสให้กับตัวเองด้วยได้ก้าวไปถึงจุดนั้นและก็ได้ไปเรียนรู้ ผมเรียกว่ามันเป็นห้องเรียน เราไปเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในระบบของการถ่ายทำภาพยนตร์แล้วก็ได้ไปสร้างมิตรภาพกับโปรดิวเซอร์ในต่างประเทศระดับฮอลลีวูดเอเชียนะครับ ก็มีความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ไปอยู่จุดนั้นแล้วก็ทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างใหม่ เราอยู่ที่เมืองไทยเราก็ประสบผลสำเร็จรูปแบบหนึ่งแต่ว่าพอเราก้าวไปถึงจุดนั้นเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างซึ่งเขาก็ให้เกรียติกันแล้วเขาก็ชอบผลงานอย่าง วิน ดีเซล แล้วก็ดาราฮอลลีวูดหลายคนที่เราได้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดใหม่ๆ ทำให้เขารู้จักคนไทยมากขึ้น ได้รู้หนังไทยมากขึ้น ได้รู้มวยไทย คือเรานำวัฒนธรรมเข้าไปด้วยเราไม่ได้ไปตัวเปล่า เราได้นำความเป็นไทยให้เข้าไปคลุกคลีกับเขาเขาก็รู้สึกประทับใจ”
“ตอนนี้มี 3 เรื่องที่จะออกมาคือ The Fast 7 ออก 1 เมษายนแล้วจากนั้นก็จะมี Skin Trade ที่จะออกที่เมืองไทย 22-23 แล้วก็จะมี Saat po long ภาค 2 (SPL2) ที่จะเข้าฉายวันที่ 22 มิถุนายนที่จะถึงนี้ แล้วนี้เราก็ดูเรื่องบทอีกหลายๆ เรื่องครับเช่นที่ปรึกษาอย่างคุณ ไมค์ ก็ดูให้ว่าบทนี้เราจะสมควรได้เล่นไหมก็มีหลายเรื่องครับที่เข้ามาทำให้เราได้เปิดคาแรกเตอร์หลักๆ ได้หลากหลายมากขึ้น”
“อดีตก็คืออดีตครับ คือความสำเร็จในเมืองไทยก็เป็นอีกก้าวหนึ่งผมไม่เคยลืม สหมงคลฟิล์มก็ยังอยู่ในใจของผม ท่านก็มีพระคุณ ผมนึกอยู่เสมอว่าผมจะทำอะไรให้กับประเทศไทยในฐานะที่ผมมีความสามารถของผม ทำยังไงที่จะเป็นพลังบวกนั่นคือผมต้องตัดสินใจที่จะเดินหน้าในเมื่อโอกาสมันมาตรงนี้แล้วผมก็ต้องพัฒนาต่อไป ที่ก้าวไปถึงตรงนั้น ถ้าเราหยุดอยู่กับที่ถ้าเราท้อมันก็จะไม่มีวันนี้เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ผมทำในวันนั้นก็คือวันนี้ ถามว่าได้คุยเรื่องคดีความไหม วันนี้เป็นวันแถลงข่าว Skin Trade (หัวเราะ) ผมไม่ขอชี้แจงอะไร”
ได้เข้าไปสวัสดีเสี่ยเจียงบ้างไหม?
“ก็ไม่ขอชี้แจงอะไรแล้วกันครับเพราะว่าเราตั้งใจมาที่นี่เพื่อมาแถลงเกี่ยวกับ Skin Trade แล้วก็สิ่งที่ผมได้ไปทำไว้ว่าผมทำอะไรบ้าง ถ้าผมพูดในทางลบมันก็จะดึงฉุดกันมันไม่สร้างสรรค์ ผมคิดแต่ว่าจะทำยังไงให้หนังไทยไปโกอินเตอร์และให้เชื่อมโยงกับฮอลลีวูดมาในเมืองไทยแล้วก็เป็นประโยชน์เป็นผลบวกมากกว่า อดีตก็คืออดีตเราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป”
“ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในใจผมตลอดครับ พ่อแม่อยู่ในใจผมตลอดผมไม่เคยลืมและสิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งที่ผมทำก็คือทำเพื่อทุกคนหน้าที่ที่ผมทำมันยิ่งใหญ่มากกับการที่ผมได้ไปอยู่ต่างประเทศ แล้วผมมองย้อนกลับมาที่เมืองไทย มันเล็กนิดเดียวแต่ผมก็มีความภาคภูมิใจ ผมว่าภาพมันบอกเองภาพที่ผมได้สื่อสารกับคนทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย ผมไม่เคยเล่าเลยนะครับว่าผมไปโน่นนั่นนี่แต่คนจะได้เห็นข่าวมาเรื่อยๆ ว่าผมไปทำอะไรก็จะเห็นว่าสิ่งที่ผมทำมันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่สำหรับผมนะครับแต่ถ้าทุกคนเห็นลึกๆ ก็จะรู้ว่าเจตนาผมเป็นอย่างนี้นี่เอง เจตนาผมมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าผมอยากถ่ายทอดความสามารถมวยไทยในรูปแบบของภาพยนตร์ออกสู่ตลาดโลกแล้วผมก็ไปยืน ณ จุดๆ นั้นแล้วผมก็มีความภาคภูมิใจนะว่าเราคิดถูกแล้ว”
“ปรับความเข้าใจกับครอบครัวไหม วันนี้เป็นเรื่องของ Skin Trade ครับ(หัวเราะ) ได้กลับไปเจอที่บ้านหรือเปล่า ก็อยู่ในใจผมเสมอครับ เรื่องที่บอกว่าลืมบุญคุณ บุญคุณมันไม่มีทดแทนที่สิ้นสุดครับมันอยู่ในใจเสมอครับ สิ่งที่สามารถทดแทนได้คือสิ่งที่เราทำวันนี้แหละครับทำวันนี้แล้วก็ทำให้เต็มที่ (กระแสข่าวว่าลืมบุญคุณพันนา ฤทธิไกร) ทุกคนอยู่ในใจเสมอครับ”