สวัสดีครับเพื่อนที่รักนักเสพความเอนเตอร์เทนเม้นท์ผ่านสื่ออินเตอร์เน็ท กลับมาพบกันอีกครั้งนะครับเมื่อมีภาพยนตร์เก่าที่น่าสนใจนำมารีวิวกันใหม่ “นัวฟิล์ม” ก็จะนำมาวิจารณ์ให้ เหล่าเพื่อนๆในหนังดีดอทคอมได้อ่านกันนะครับ สัปดาห์นี้ผมจะมาแนะนำ ภาพยนตร์เก่าที่น่าสนใจ มาวิจารณ์ ให้เพื่อนๆชาวหนังดีดอทคอมกันได้อ่านกันอีกเช่นเคยครับ โดยปกติแล้วตัวของคุณชอบดูหนังสายลับตามจับผู้ร้ายหรือเปล่าครับ ถ้าใช่หนังเรื่องนี้อาจจะเป็น หนึ่งในดวงใจของใครหลายๆคนเพราะมีอารมณ์ที่หลากหลายในเรื่องนี้กับ “Catch Me If You Can” (จับให้ได้ถ้านายแน่จริง) กำกับการแสดงโดย สตีเว่น สปีลเบอร์ก ซึ่งได้ 2 นักแสดงที่โด่งดังจาก เวทีออสการ์ “ลีโอนาโด ดีคาปริโอ” เป็น “แฟรงค์ ดับเบิ้ลยู อบาเนล” และ “คาร์ล ฮันแร็ทตี้” รับบทโดย “ทอม แฮงค์” มารับบทเด่นในเรื่องนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นจากนาย แฟรงค์ ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวที่มีปัญหาทางด้านการเงิน ทำให้เขาต้องหาทางเอาตัวรอด โดยการเป็น 18 มงกุฎ ปลอมแปลงเอกสาร ปลอมตัวเป็นนักบิน เป็นหมอ และทนาย รวมไปถึงการปลอมแปลงเช็คเพื่อใช้ในการมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อ FBI ทราบเรื่องจึงส่งเจ้าหน้าที่ คาร์ล ฮันแร็ทตี้ มาเพื่อตามจับตัว แฟรงค์
ตัวภาพยนตร์
เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาจากหนังสืออัต ชีวประวัติของนาย แฟรงค์ ดับเบิ้ลยู อบาเนล ซึ่งเป็นเกิดขึ้นในช่วง ทศวรรษที่ 1960 ซึ่งในสมัยนั้นมนุษย์ค่อนข้างเชื่อใจซึ่งกันและกัน ทำให้ถูกหลอกได้อย่างง่ายดาย ภาพต่างๆของหนังจะทำในเห็นถึงสภาพของชาวยุโรปและอเมริกา ในสมัยนั้นทั้งรถรุ่นเก่าๆ รวมถึงสนามบินด้วย
บทบาทภาพยนตร์
ในส่วนบทบาทของภาพยนตร์เรื่องจับให้ได้ถ้า นายแน่จริงนี้จะเป็นบรรยากาศช่วงทศวรรษที่ 1960 ตั้งแต่ที่แฟรงค์ผู้มีความรู้ไม่ถึงมัธยมปลายหนีออกจากบ้าน พยายามทำให้ตนเองเป็นนักบิน หมอ ทนายความ และศาสตราจารย์ในวิทยาลัย รวมทั้งยังปลอมแปลงเช็คและใช้เงินไปหลายล้านดอลลาร์ ทำให้ FBI ต้องส่งเจ้าหน้าที่ คาร์ล ฮันแรทตี้ เพื่อมาจัดการกับจอมลวงโลกผู้นี้
นักแสดง
เรื่องนี้ได้ 2 ดารามากฝีมือพร้อมการันตีด้วยรางวัลออสการ์ทั้งคู่ คนแรกคือ “ลีโอนาโด ดีคาปริโอ” รับบทเป็น “แฟรงค์ ดับเบิ้ลยู อบาเนล” 18มงกุฎ จอมลวงโลกผู้นี้ และอีกคนคือเจ้าหน้าที่ FBI “คาร์ล ฮันแร็ทตี้” รับบทโดย “ทอม แฮงค์” ในเรื่องทั้ง 2 คนต้องใช้ไหวพริบของทั้งคู่คอยข่มกันอยู่ตลอด ไม่ว่าจะด้วยมันสมองหรือคำพูดคำจา ทั้งสองจะคอยยั่วให้อีกฝ่ายโมโหจนกลายเป็นมุขขำขันของหนังเรื่องนี้ไปเลยที เดียว
การกำกับ
สตีเว่น สปีลเบอร์ก ได้นำดาราทั้ง 2 มาเข้าคู่กันได้อย่างลงตัวกับบทบาทที่ทั้งคู่ได้รับ ทำให้หนังดูแล้วน่าติดตามอยู่ตลอดเวลา แถมยังคอยหยอดมุขให้ทั้ง 2 ตัวเอกได้ปวดหัวกันตลอดทั้งเรื่องเลยอีกด้วย แม้ว่าช่วงแรกๆของหนังอาจจะดูน่าเบื่อไปบ้างเพราะเป็นการเริ่มต้นถึงสาเหตุ ของเรื่องราวในครั้งนี้ แต่ก็ยังมีความรู้สึกดีๆที่พ่อคนหนึ่งพยายามทำทุกสิ่งเพื่อครอบครัวไม่ว่าจะ ดีหรือร้ายเพียงใดก็ตาม
การถ่ายภาพ
ผมว่าดีมากเลยครับทั้ง ฉาก อุปกรณ์ และวิวต่างๆ ดูแล้วเหมือนเราได้ย้อนไปอยู่ในช่วงเวลานั้นจริงๆ โทนสีของภาพต่างๆในหนังทำให้ได้ลิ้มรสถึงความรู้สึกถึงความเป็นอดีตยุค 1960 จริงๆ
ภาพรวม
ผมว่าโดยรวมของหนังน่าจะก็เหมาะสมกับเด็กโตไปจน ถึงผู้ใหญ่ เพราะเด็กๆอาจจะยังไม่เข้าใจถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นภายในหนังมากเท่าที่ ควร ส่วนมากหนังจะเน้นไปที่การโกหกหลอกลวง และชิงไหวชิงพริบของ 2 ตัวละครถ้าเข้าใจถึงวิธีการของแต่ละตัวละครจะทำให้เรื่องนี้ได้ความสนุกสนาน ค่อนข้างมากเลยครับ
ความคุ้มค่า
8 /10
ทิ้งท้ายไว้นิดหน่อยครับ
สำหรับคนที่ชอบแนวสืบสวนสอบสวนหรือสายลับ จับผู้ร้ายคงมีความสุขไปกับหนังเรื่องนี้แม้จะไม่มีฉากแอ๊คชั่นสนุกๆให้ดู แต่ก็ได้รับความบันเทิงในอีกรูปแบบหนึ่ง แม้ในหนังจะมีแต่การโกหกหลอกลวงแต่ก็ได้สอนอะไรให้เราหลายๆอย่างว่า สุดท้ายแล้วการโกหกหลอกลวงผู้อื่นจะมีจุดจบอย่างไร แต่ถ้าคุณมีไหวพริบหรือชำนาญการด้านใดด้านหนึ่งก็จงนำความชำนาญนั้นไปทำสิ่ง ที่ถูกที่ควรดีกว่าครับ
แล้วคราวหน้า "นัวฟิล์ม" จะนำเอาภาพยนตร์เก่าๆ มารีวิว มาเล่าให้ฟังนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม อ่านนะครับ เข้ามาอ่านแล้ว โพสต์เข้ามา บอกความคิดเห็นกันบ้างนะครับ ว่า ชอบ หรือไม่ชอบ อย่างไร หรือ อยากให้ วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอะไร ก็บอกกันนะครับ สวัสดีครับ