สวัสดีครับ เพื่อนที่รัก นักเสพความเอนเตอร์เทนเม้นท์ ผ่านสื่อ อินเตอร์เน็ท กลับมาพบกันอีกครั้งนะครับ เมื่อมีภาพยนตร์เก่าที่น่าสนใจนำมารีวิวกันใหม่ “ นัวฟิล์ม ” ก็จะนำมาวิจารณ์ให้ เหล่าเพื่อน ๆ ในหนังดีดอทคอมได้อ่านกันนะครับ
วันนี้ผมจะพาไปพบกับภาพยนตร์ ญี่ปุ่นที่สร้างความประทับใจเมื่อปี 2005 ที่ประสบความสำเร็จรับรางวัลไปเพียบเลยอีกเรื่องหนึ่งเลยครับสำหรับ ภาพยนตร์เรื่อง Always Sunset on the third street เป็นเรื่องราว ชีวิตของผู้คน ในชุมชนของญี่ปุ่นที่เมืองโตเกียว เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อสมัย ราว ๆ ค.ศ. 1958 ในขณะที่หอโตเกียวกำลังสร้างอยู่ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในชุมชนขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนสายที่ 3 แห่งเขตยูฮี กรุงโตเกียว ผมถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่สร้างความประทับใจใหักับผมไม่น้อยเลยทีเดียวครับ สร้างควาามประทับใจยังไงเราไปติดตามพร้อมๆ กันนะครับ
ตัวภาพยนตร์
เป็นภาพยนตร์ Drama สร้างความประทับใจให้ผมด้วยการเล่าเรื่องของตัวภาพยนตร์นั้น ค่อยๆเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปอย่างเรียบง่ายพร้อมให้แง่คิดดีๆไปด้วย มีทั้งความน่ารักของเด็กๆ การต่อสู้ ความยากลำบาก ของคนญี่ปุ่นหลังจากการสูญเสียใน สมัยของสงครามโลกครั้ง 2 แสดงเห็นถึงความอดทนเพื่อที่จะต่อสู้และก้าวต่อไปข้างหน้า เพื่อที่จะทำให้คนที่เรารัก ! เราจะเห็นความแข็มแข็งของคนญี่ปุ่น ความน่ารักของคนญี่ปุ่น และความรักที่บริสุทธิ์ ได้ใน ภาพยนตร์นี้เรื่องนี้ ดูแล้วประทับใจมีทั้งความสุข ความเศร้า ความน่ารัก เรียกได้ว่า ครบรสกันเลยทีเดียวครับ
บทบาทภาพยนตร์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถูกดัดแปลงมาจากมังงะของเรียวเฮ ไซงัง เรื่อง ซังโจเมะโนะยูฮิ เสน่ห์ของเรื่องนี้คือ ความน่ารักของตัวละคร และการเล่าเรื่องโดยเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ความสัมพันธ์ ความหวัง และความรักของสมาชิกในชุมชนเล็ก ๆ บทถนนสายที่ 3 ที่เกิดขึ้น ในเมืองโตเกียว ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพยนตร์ได้เล่า เรื่องราวตอนที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เล่าถึง ชีวิตของผู้คน ในชุมชนเล็กๆ ไปพร้อมกับการสร้าง หอคอยโตเกียว มีฉากหลายฉากมากครับที่ทำออกมาได้น่ารักมากครับเช่น ฉากของ การนั่งดู TV ของคนญี่ปุ่น ผมดูฉากนี้ไปอมยิ้มไป ผมคิดว่าแสดงถึงความจริงใจของคนในชุมชนครับ และมีฉากอีกหลายฉากที่สร้างความประทับใจ ให้กับผู้ชมมากเลยทีเดียวครับ
การกำกับ
ผู้กำกับภาพยนตร์โดย"ทะกะชิ ยะมะซะกิ" หลังจากผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จผมคิดว่า มุมมองของผู้กำกับคนนี้ เป็นมุมองที่ดึงความสนใจจากจุดเล็กๆ ที่ทุกคนส่วนมากมองข้ามกันไป แล้วทำออกมาได้เข้าถึงอารมณ์ของเนื้อเรื่องได้ดีมากเลยครับ มีฉากหนึ่งที่ผมคาดไม่ถึงคือฉากที่ จะงะวะ รีวโนะสุเกะ มอบแหวนให้กับ ฮิโระมิ อิชิซะกิ ฉากนี้ซึ่งกินใจมากๆ ครับ ถ้าใครอยากรู้ว่ามันซึ่งกินใจมากแค่ไหน ลองไปหาชมกัน นะครับ รับรองเรียกน้ำตาของความประทับใจได้ในฉากนี้เลยทีเดียวครับ
การถ่ายภาพ
ผมถือว่า การถ่ายภาพของเรื่องนี้ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ถึงขั้นสุดๆเลยครับ ภาพในแต่ละฉาก ทำเหมือนจริงมากครับ ยิ่งหอคอยโตเตียว เหมือนจริงมากๆครับ และโทนสีของภาพนั้น ทำให้ผมเสมออยู่ในยุคสมัยนั้นจริงๆ ครับ
สเปเชี่ยลเอฟเฟ็ค
ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำออกมาได้เนียบเลยทีเดียวครับ ถ้าคนดูแล้วถามว่ามี สเปเชี่ยลเอฟเฟ็คตรงไหน? ลองดู ตรงหอคอยโตเกียวครับ ที่กำลังสร้าง ทำได้เสมอจริงมากครับ และฉากหนึ่งที่สื่ออกมาถึงจิตนาการของ เด็กๆใน การ์ตูน ที่ จุนโนะซุเกะ ฟุรุยุกิเขียนครับ
ดารา
นอกจากดารารุ่นใหญ่แสดงได้ยอดเยี่ยมแล้ว ดารารุ่นเด็กในเรื่องนี้แสดงได้ไม่แพ้กัน ไม่น่าเชื่อเลยครับว่า เด็ก 2 คนที่ แสดงเป็น อิปเป ซุซุกิ และ จุนโนะซุเกะ ฟุรุยุกิ ความน่ารักของเด็กของคนนี้ กินใจผมเลยครับ
ภาพรวม
เรื่องนี้ ถือว่าเป็นภาพยนตร์ในดวงใจของผมอีกเรื่องเลยครับ ที่เอาออกมาดูกี่รอบ ก็ไม่เบื่อครับ ดูทีไรสร้างกำลังใจให้ผมได้ดีเลยทีเดียวครับ และภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสอนให้รู้ คุณค่าของคำว่าครอบครัว ความรัก ความเชื่อมั่น และ มิตรภาพดีๆครับ และสุดท้ายผมประทับใจ จุนโนะซุเกะ ฟุรุยุกิ มากๆๆครับ ยิ่งตอนสุดท้าย ซึ่งกินใจเลยทีเดียวครับ
สุดท้าย
ผมขอทิ้งแง่คิดดีๆ จากภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้นะครับ ว่า "ไม่มีครอบครัวไหนที่พ่อ แม่ ไม่รักลูกตัวเองหรอกครับ และความสุขที่มาจากรักของครอบครัว เงินก็ไม่สามารถซื้อมาได้ครับ"
ความคุ้มค่า
เรื่องนี้ผมขอให้ 9 เต็ม 10 ครับ
แล้วคราวหน้า "นัวฟิล์ม" จำนำเอาภาพยนตร์เก่าๆ มารีวิว มาเล่าให้ฟังนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม อ่าานนะครับ เข้ามาอ่านแล้ว โพสท์เข้ามา บอกความคิดเห็นกันบ้างนะครับ ว่า ชอบ หรือไม่ชอบ อย่างไร หรือ อยากให้ วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอะไร ก็บอกกันนะครับ สวัสดีครับ