ย่างเข้าสู่ปีที่ 9 ที่ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือร่วมกับ เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส สร้างรอยยิ้มแห่งความสุขคัดสรรเรื่องราวและสร้างความสนุกสนานนำเสนอความบันเทิงในรูปแบบภาพยนต์อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปรากฎการณ์ความสำเร็จของ “โหน่งเท่งนักเลงภูเขาทอง” ภาพยนตร์คอมมิดี้-พีเรียดเรื่องแรก ในปีพ.ศ. 2549 ที่มาพร้อมกับความบันเทิงที่แตกต่างจากภาพยนตร์ไทยเรื่องต่างๆ ณ ขณะนั้น
และในปีนี้ 4 มีนาคม พ.ศ.2558 2 ยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงไทยพร้อมแล้วที่จะประเดิมมอบความสุข สนุกสนาน รับศักราชใหม่ด้วยการส่ง “แคท อ่ะ แว้บ! #แบบว่ารักอ่ะ” ภาพยนตร์อมยิ้ม ฟรุ้งฟริ้ง มุ้งมิ้งสุดแสนโรแมนติคที่ขนเอาความแปลกใหม่ในไอเดียผสมผสานออกมาเป็นภาพยนตร์โรแมนติคคอมมิดี้ที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองความรักที่เป็นตัวแทนของหญิงสาวในพ.ศ.นี้ที่มีเจ้าเหมียวสี่ขาเป็นตัวชูโรงจากการแท็คทีมร่วมกันของ 2 ผู้กำกับฝีมือดี เป้ นฤบดี เวชกรรม ผู้กำกับภาพยนตร์แห่งปรากฎการณ์อย่าง สาระแนห้าวเป้ง, สาระแนสิบล้อ และสาระแนเห็นผี และอยู่เบื้องหลังการแคนดิดศิลปินในเมืองไทยกว่า 500 เทปจากรายการสาระแน ฯลฯ แท็คทีมคู่กันเป็นครั้งแรกกับนักแสดงตลกอัจฉริยะเจ้าแห่งสารพัดมุก เท่ง เถิดเทิง ที่เคยฝากผลงานการแสดงและกำกับภาพยนตร์มาแล้วจาก “เท่งโหน่งคนมาหาเฮีย” และ “เท่งโหน่งจีวรบิน” มาร่วมกันถ่ายทอดมุมมอง แนวคิด และวิธีการกำกับที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครแบบยกกำลังสองร่วมกันเป็นครั้งแรก
โดย เป้ นฤบดี เวชกรรม ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เผยว่า “ก็เริ่มมาจากทางสหมงคลฟิล์ม และ เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส โดยโปรดิวเซอร์ก็คือพี่โอ๋ พานิชย์ สดสี แกมามีไอเดียว่าอยากจะทำหนังสักเรื่องที่มองผ่านในมุมมองของผู้หญิง คือเราทำหนังเกี่ยวกับผู้ชายๆ สนุกสนานเฮฮาตีลังกาอะไรกันแบบตลกหกคะเมนกันมาเยอะแล้ว ก็เลยรู้สึกว่ามุมมองของผู้หญิงก็น่าสนใจดี ถ้าผู้ชายอย่างเรากลับมามองในมุมผู้หญิงบ้างมันจะเป็นอย่างไร ก็เลยไปนึกถึงชีวิตผู้คนในวงการโฆษณารู้สึกว่ามีเสน่ห์ น่าสนใจ ประกอบกับเราเองมักได้เจอได้ฟังเรื่องราวของน้องฝึกงานผู้หญิงเวลาไปฝึกงานที่บ.โฆษณาเจอพี่ผกก.ที่เก่งๆ มีแนวความคิดแปลกใหม่หรือว่ามุมตลกอะไรของเขายังไงบ้างซึ่งคาแรคเตอร์ตรงนี้จุดประกายและน่าจะหยิบจับมาเล่นได้คิดว่าถ้าทำหนังรักเกี่ยวกับน้องนักศึกษาฝึกงานไปเจอกับพี่เทรนที่เท่ห์ทำงานเก่ง แล้วมโนไปว่าถ้าได้เป็นแฟนกับพี่เขาจะเป็นอย่างไร นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องแล้วเราก็มาคิดต่อถ้าเกิดพี่เทรนคนนี้ต้องกำกับงานโฆษณาชิ้นหนึ่งที่เป็นแมว แล้วน้องฝึกงานคนนี้จะช่วยพี่คนนี้ยังไง มันก็เลยเกิดขึ้นกลายเป็นโปรเจ็คต์ที่มีทั้งเรื่องรักและเรื่องแมวเข้ามาเกี่ยวซึ่งตัวแมวก็จะมาเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคในความรักของทั้งสองคนนี้
คืออย่างหมาคนก็เคยเห็นมาแล้ว แล้วมันซ้ำ แล้วก็เคยคิดว่าเป็นยีราฟฟนะ พี่เท่งเคยเสนอยีราฟ เราก็ว่ามันก็น่าสนใจดีนะ(หัวเราะ) ตอนนั้นทุกคนก็เสนอหมดแหละยีราฟ นากมั้ย แต่สัตว์ที่มันใกล้ตัว และเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่มันใกล้เคียงกับผู้หญิงก็คือแมว ผู้หญิงกับแมวมีลักษณะที่คล้ายกันบางอย่าง อย่างหนึ่งเลยคือแมวมันจะไม่อยู่กับคนที่ไม่ดูแลมัน มันจะไปอยู่กับคนที่อบอุ่น มันก็จะคล้ายๆนิสัยผู้หญิงเหมือนกันในบางส่วนนะ แต่คงไม่เหมือนกันทั้งหมดหรอก แมวเขาจะเลือกอยู่กับคนที่เทคแคร์ดูแลแล้วก็นิ่มนวลกับเขา”
หลังจากบ่มเพาะแนวคิดขีดร่างไอเดียกว่า2ปี ปรับเปลี่ยนพล็อตและเรื่องราวออกมาเป็นบทภาพยนตร์นับสิบร่าง จนมาลงตัวกับไอเดียที่ว่า “จะเป็นอย่างไรถ้าเรื่องราวความรักระหว่างน้องนักศึกษาฝึกงานสายมโน(ไปเรื่อย)กับรุ่นพี่เทรนในบริษัทโฆษณาจะรุ่งหรือร่วงขึ้นอยู่กับเหมียวยักษ์หนัก10กิโลเป็นตัวแปร” ซึ่งกว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ทีมงานตลอดจนผู้กำกับต้องผ่านการออกค้นหา ศึกษา รวบรวม และกลั่นกรองข้อมูลสำคัญที่จะต้องถูกนำมาถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราว เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภาพยนตร์ให้เกิดขึ้นได้ใกล้เคียงกับตัวละครและมีความสมจริงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง2เส้นเรื่องสำคัญที่จะดำเนินควบคู่ไปตั้งแต่ต้นจนจบนั่นคือเรื่องความรักของคนและเรื่องราวของแมว ถึงขนาดต้องเลี้ยงแมวกันเลย
“ในส่วนขั้นตอนการทำงานจริงเราก็ต้องเริ่มมาจากการหาข้อมูล เราต้องคุยกับคนโฆษณา คุยกับนักศึกษาจริงๆที่เคยไปฝึกงานจริงๆบ.โฆษณาเอาข้อมูลของเขามาจริงๆ เอามาเซ็ทเอามาเขียน นอกจากนั้นก็เลี้ยงแมวเพื่อที่จะได้ศึกษาว่าคาแรคเตอร์ของแมวเป็นอย่างไรแล้วก็วางน้ำหนักของตัวละครในเรื่องว่าจะเดินทางไปทางไหน คือหนังเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติคคอมมีดี้ หนังรักตลกสนุกสนาน ก็คือเส้นที่มันทิ้งไปไม่ได้ก็คือเส้นรักนะแต่เส้นที่สำคัญอีกเส้นหนึ่งก็คือเส้นของแมว ที่จะทำให้ความรักของคนคู่นี้เดินต่อได้และเกิดอุปสรรคก็เพราะแมว เพราะฉะนั้นบทมันผ่านมาเกือบ10ร่างเลยนะ มีการแก้มีการคุยกัน เพราะตอนเริ่มต้นเราไม่รู้ว่ามันยากยังไง เราเขียนสุดไปเลย เราเขียนให้แมวเป็นนั่น เป็นโน่น เป็นนี่ ไปสุดเลย แต่หลังจากที่ไปศึกษาชีวิตแมว ไปนั่งดูแมว ไปคิดไปลองทำดูกับแมวที่เราเลี้ยงอยู่ ก็เริ่มรู้ว่ามันยากเพราะฉะนั้นเราก็ต้องปรับบทแก้แล้วแก้อีก สำหรับคนที่ทำงานในสายโปรดักชั่นไม่ว่าจะสัตว์เด็กเอฟเฟกต์สลิง ก็คงน่าจะเคยผ่านกันมาหมดแล้ว แต่เรามั่นใจว่าถ้าเจอแมวรับรองเสร็จแน่นอน เพราะในความเป็นจริงแมวมันเป็นสัตว์ที่ไม่ฟังไม่เชื่อ ดื้อแล้วก็บังคับอะไรไม่ได้ ก็เลยเป็นโจทย์สำคัญที่ตัวละครพระเอกในเรื่องของเราคือมอร์จะก้าวข้ามจากการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับไปเป็นผู้กำกับโฆษณาเต็มๆตัวได้ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ รวมทั้งพวกเราทีมงานที่กำลังทำภาพยนตร์เรื่องนี้กันอยู่ด้วยหลังจากที่เราพล็อตเรื่องขึ้นมาแล้วว่าแมวต้องทำอะไรบ้างคือไม่มีใครนึกภาพออกหรอกไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการสร้าง อาร์ทไดเรคเตอร์ หรือว่าใครก็ตาม แม้กระทั่งนักแสดงที่มาอ่านบท ทุกคนยังหันมามองหน้าเลยพี่แล้วมันจะทำอย่างไร คือรู้ว่ามันเป็นภาระหนักแน่ แต่เราก็ยังคิดว่าเฮ้ยมันต้องเป็นไปได้ซิ เราก็เริ่มต้นจากการเลี้ยงแมวก่อนแล้วก็คอยเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมแมวว่าไอ้ตัวนี้มีนิสัยแบบนี้ มันชอบแบบนี้ พอสักพักหนึ่งเราจะรู้ว่าแมวและตัวมันจะมีคาแรคเตอร์แตกต่างกันตัวนี้มีนิสัยชอบโลดโผนโจนทะยาน ซน ตัวนี้ชอบความสงบ ตัวนี้ชอบให้จับเบาๆ คือเราจะเริ่มรู้ว่าแมวมันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นเวลาจอนนี่มากอง จอนนี่ชอบอะไร เราต้องจัดให้ หรือทาโร่ไม่ชอบอะไร ชาร์ลีชอบอะไรก็จัดไป ให้พวกเขาสบายใจก่อนแล้วค่อยเริ่มทำงาน นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ในระหว่างที่กำกับแมว”