วันนี้ กลับมาเล่าถึงเรื่องราวของ ฮีโร่โลว์เทคฯ ที่ใช้ความอึด อย่างบ้าระห่ำ สุด ๆ มาแล้วถึง 3 ภาค กับการกลับมาของภาคต่อที่ถือว่าอาจจะเป็นภาคสุดท้ายแล้วสำหรับ จอห์น แม็คเคลน ผู้ซึ่งเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม อย่างผิดที่ผิดเวลา แต่ก็สามารถแก้สถานการณ์ได้อย่างเรียกว่า สุดอึด สุดระห่ำ และสุดลุ้นระทึกไปทุกอณูขุมขน กับ DIE HARD 4.0 “ ปลุกอึดตายยาก “
เนื้อเรื่อง
ตัวภาพยนตร์ ไม่ต้องบอกก็คงรู้ได้ เนื่องจาก DIE HARD มีมาถึง 3 ภาคแล้ว และภาคสุดท้าย คือ ภาคสาม กับภาค 4.0 นี้ ห่างกันถึง 12 ปี เลยครับ ใครที่เป็นแฟน บลูซ วิลลิส คงทราบดี เพราะภาพยนตร์เป็นแบบ แอ็คชั่น สุดระทึก ของ ตำรวจ ธรรมดา ๆ ที่ต้องถูกพาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การก่อการร้าย อย่างที่เค้าไมได้ล่วงรู้ตัวมาก่อน ซึ่งเป็นแบบ ผิดที่ผิดเวลา ทำให้เค้าต้องตกกระไดพลอยโจร รับหน้าที่ สู้พลาง หนีพลาง เพื่อล้างเหล่าผู้ก่อการร้ายได้อย่างทันท่วงเวลาที่บีบจำกัด ทั้งด้วยสถานที่ที่แทบเอาชีวิตไม่รอด อย่างสะบักสะบอม
จากภาคแรก ที่ จอห์น แม็คเคลน เข้าไปหาภรรยาในวันเทศกาลคริสต์มาส ในตึก นากาโตมิ ซึ่งเป็นวันที่ เหล่าผู้ก่อการร้าย นำโดย ฮานส์ กรูเบอร์ ที่เข้ายึดตึกพอดี เค้าเป็นคนเดียวที่จะสามารถหยุดยั้งไว้ได้ ต่อมาภาคสอง สุดระทึกกับการยึดสนามบิน เพื่อ ชิงตัวหัวหน้าการก่อการร้าย กับการลุ้นที่จะสามารถช่วยภรรยาของเค้าที่อยู่บนเครื่องบินที่น้ำมันกำลังจะ หมดให้ปลอดภัย และ ภาคสาม เค้ามีผู้ช่วย เป็น แซมมูเอล แอล แจ็คสัน ต้องวิ่งพล่านไปทั่วเมือง กับการกู้ระเบิดที่วางไปทั่วเมือง ซึ่งเป็นการกลับมาแก้แค้น ของพี่ชาย ฮานส์ กรูเบอร์ หัวหน้าการก่อการร้ายที่ตึก นากาโตมิ ในภาคแรก ที่มาวางระเบิด จนถึงในภาคนี้ จอห์น แม็คเคลน ต้องกลับมาอย่างผิดที่ผิดเวลาอีกครั้ง เนื่องจาก เหล่าผู้ก่อการร้าย ไฮเทคฯ ได้รุกรานสหรัฐฯ ด้วยการเจาะฐานข้อมูลการควบคุม ระบบสาธารณูปโภค ทุกอย่าง โดย หลอกใช้ แฮกเกอร์ เข้าไปสร้างโปรแกรมเจาะข้อมูล แล้ว จึงสั่งฆ่า แฮกเกอร์ ทั้งหมด เพื่อเป็นการตัดตอน ขณะเดียวกับที่ แม็คเคลน ได้รับหน้าที่จาก FBI ต้องไปพา เจ้าแฮกเกอร์ ตัวแสบนาม ฟาร์เรล เพื่อมาสอบปากคำ กรณี ฐานข้อมูล FBI ถูกทำลายบางส่วน แม็คเคลน จึงถูกนำเข้าไปสู่สถานการณ์ล่อแหลมอีกครั้ง
บทภาพยนตร์
ผมชอบมากเป็นพิเศษครับ เพราะรู้สึก ทันยุคทันสมัย และเมื่อดูภาพยนตร์เสร็จแล้ว ก็สามารถรู้สึกได้ว่า มันก็สามารถเป็นไปได้จริง เค้าสามารถเขียนบทได้แบบ ผสมผสานระหว่าง ความไฮเทคฯในยุคดิจิตอล ผนวกกับ ความเป็นจริงที่เป็นไปได้ที่ว่า แม้ระบบที่ดูจะโลว์เทค แต่ก็เป็นระบบแบบเก่า ๆ ที่ แม้แต่ ผู้ก่อการร้าย ไฮเทคฯขนาดไหน ก็ไม่สามารถใช้ความ ไฮเทค หยุดยั้ง ความ โลเทคฯ ได้ ซึ่งเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังในรายละเอียดอีกครั้ง
ผู้กำกับ
ผมจำได้ว่า เค้ากำกับภาพยนตร์ เรื่อง อันเดอร์เวิรลด์ มาก่อนแล้ว เป็นผู้กำกับที่กำกับภาพยนตร์ได้ น่าตื่นตาตื่นใจพอควร แต่เค้ามักจะชอบภาพในโทน แบบ แสงน้อย ๆ ภาพทึม ๆ และ ดูบีบ ๆ อารมณ์ และในเรื่องนี้ก็มีหลายฉากหลายตอนที่ภาพจะออกมาค่อนข้างทึม ๆ แสงน้อย ๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ในรายละเอียด แต่ก็พอทราบเบื้องหลังมาว่า เค้าเป็น แฟนพันธุ์แท้ภาพยนตร์ DIE HARD มาตั้งแต่ภาคแรก เค้าดู DIE HARDภาคแรกตั้งแต่เมื่อเค้าอายูแค่ 16 แล้วเค้าก็บอกว่า เคยฝันไว้ว่า จะสร้างภาพยนตร์ สไตล์แบบ DIE HARD สักเรื่อง แต่ก็ไม่เคยคิดเคยฝันว่า บลูซ วิลลิส จะเลือกเค้ามากำกับ DIE HARD4.0 เค้าจึงตั้งใจกำกับภาคนี้เป็นพิเศษ
การกำกับภาพยนตร์
ในส่วนของการกำกับภาพยนตร์เรื่อง DIE HARD4.0 นี้ ถือว่าใช้ได้เลยครับ ความต่อเนื่องของเนื้อหา ความสนุกสนาน ความมันส์ที่ต้องลุ้นกัน ตั้งแต่ 5 นาทีแรก เพราะเมื่อการปรากฏกายของ จอห์น แม็คเคลน ขึ้นเท่านั้น ความระทึกก็ตามมาอย่างต่อเนื่อง จนรู้สึกว่า มันส์แบบ นอนสต๊อป แอ็คชั่น จนจบเรื่อง ก็เล่นเอาเหนื่อยตามนักแสดงไปด้วยเลยครับ นาน ๆ จะเจอภาพยนตร์แบบนี้สักครั้ง ก็ต้องบอกละครับว่า ชอบจริง ๆ และไม่ผิดหวังกำกับการกลับมาของ จอห์น แม็คเคลน หรือ บลูซ วิลลิส เลยครับ แถมยังประทับใจอย่างยิ่งเลยครับ และ ทำให้ผมหวังที่จะไปดูรอบที่สองแน่นอนครับ
ดารา
ไม่ต้องมากเลยครับ บลูซ วิลลิส ใครไม่รู้จักก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วล่ะครับ ตำนานของ DIE HARD ต้อง บลูซ วิลลิส เท่านั้น เพราะเมื่อพูดถึง DIE HARDก็ต้องเป็น บลูซ วิลลิส หรือ เมื่อพูดถึง บลูซ วิลลิส ก็ต้องเป็น DIE HARD เท่านั้น เค้าเป็นจ้าวแห่งความอึดมาทุกภาค ที่ต้อง ลุยกับผู้ก่อการร้าย แบบ มีข้อจำกัด แบบในที่จำกัด และในแบบ เวลาอันจำกัด ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่อง SPEED เร็วกว่านรก ที่สร้างชื่อให้กับ คีอานู รีฟ มาแล้ว ก็ยอมรับว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก ภาพยนตร์เรื่อง DIE HARD นี่แหล่ะครับ ดังนั้น ภาพลักษณ์ของ ฮีโร่ที่เป็น คนธรรมดา ๆ ถูกต่อยก็เจ็บ ถูกอัดก็น่วม ถูกยิงก็สาหัส จึงเป็นรูปแบบที่ติดตราตรึงใจ เรียกกันง่าย ๆ ว่า “โดน” ขาบู๊แบบเข้าขั้น ก็มีเค้าเท่านั้น จอห์น แม็คเคลน ที่นั่งอยู่ในใจ และ บลูซ วิลลิส ก็ถ่ายทอดวิญญาณของ จอห์น แม็คเคลน ได้อย่างไม่มีที่ติ ตั้งแต่ภาคแรก จนถึงภาคสี่นี้ แม้สังขารจะร่วงโรยไปตามอายุ แต่การแสดงของเค้านั้น ไม่ได้ร่วงโรยลงไปเลยครับ กลับมีพลังมากขึ้น เมื่อคุณไปชม คุณจะเห็นได้เลยว่า ภาพยนตร์สื่อให้รู้เลยครับ ว่า จอห์น แก่ไปเยอะ ไม่ว่าจะเป็น ภาพที่ โคลสอัพ ใบหน้าที่แก่กร้าน หรือ แม้แต่ภารกิจ ที่เค้าถูกมอบหมาย ก็มอบหมายด้วยว่าที่เค้าเป็น ตำรวจชรา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ( คล้าย ๆ เหมือนใน ภาพยนตร์ เรื่อง 16 BLOCKS แต่ไม่แก่เท่า ) แต่เมื่อ สถานการณ์คับขัน เค้าก็สามารถกลับมาเป็น แม็คเคลน คนเดิมเมื่อ เกือบ 20 ปีที่แล้วเหมือนเดิมเลยครับ เพราะ แอ็คชั่น การแสดงของเค้าไม่ได้ตกไปตามวัยเลย อีกทั้งรูปร่างก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะเค้าไม่เหมือน อาร์โนลด์ หรือ สตอลโลน ที่มีกล้ามบึ้กบั้ก แต่พออายุเลยวัยไปแล้ว มันก็จะย้วยตามไ ปด้วย แต่ บลู๊ซ วิลลิส เค้าแค่ฟิตร่างกายเพียง 6 เดือน ก็กลับมาเป็น จอห์น แม็คเคลน ที่เกือบเหมือนเดิมเลยทีเดียวครับ
ภาพรวม
จริง ๆ แล้วเป็นภาพยนตร์ที่ดูเอาความมันส์ ก็ได้ แต่ก็มีสาระให้เก็บเกี่ยวอยู่บ้างเหมือนกัน อาทิ อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตอนแรก อะไร ๆ ที่มันดูเก่าแก่ ดูโลว์เทคฯ แต่อย่างน้อย มันก็ไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ เทคโนโลยี่ ครับ ภาพยนตร์ดูจะเปรียบเทียบให้เห็น อย่างเช่น สุดท้าย การสื่อสารทุกระบบ ถูกตัดขาดจากการ ก่อการร้าย ด้วยเทคโนโลยี สุดท้ายต้องไปพึ่งพา ระบบโทรศัพท์พื้นฐาน หรือ แม้แต่ วิทยุCBR วิทยุคลื่นสั้นสมัครเล่น ที่ใช้กันในยุคดึกดำบรรพ์ มาช่วยแก้สถาณการณ์ หรือแม้แต่เปรียบเทียบให้เห็นว่า แม้ ผู้ก่อการร้าย จะใช้ความ ไฮเทคฯจาก เทคโนโลยี ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ก็ไม่สามารถ ควบคุม ตำรวจโลว์เทคฯ คนเดียวได้ เนื่องจากเค้าไม่เคยพึ่งพาเทคโนโลยี แต่กลับ ใช้มันสมองกับความ อึดระห่ำเข้าแลก เท่านั้นเอง
ใคร ๆ ที่ได้ไปชม อาจจะเห็นว่า ถ้าเป็นเรื่องจริง แม็คเคลน ไม่มีทางรอดแน่ ๆ แต่อย่างว่าแหล่ะครับ ด้านคนที่ชอบ ฮีโร่ แบบนี้ ก็ต้องขอบอกละครับว่า จริงครับ ภาพยนตร์อย่างนี้ ฝรั่ง มันโม้ ทั้งเพ แต่ก็ต้องยอมรับละครับว่า ฝรั่ง มันโม้มันส์ง่ะ จริงไม๊ครับ
สุดท้าย ต้องบอกว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมรอคอย และรู้สึก สมหวังกับการรอคอยครั้งนี้ ภาพยนตร์ไม่ได้ดูเก่าไปตามพระเอกของเรา แต่เค้ากลับสามารถ ใช้ความไฮเทคฯ ของเทคโนโลยีที่ น่ากลัว ขึ้นทุกวัน เข้ามามีบทบาทต่อเชื่อมกับ ความเก่าและความเก๋า อย่าง จอห์น
แม็คเคลนได้อย่างลงตัว แม้กระทั่งฉากต่าง ๆ ในภาพยนตร์ ดูสมบูรณ์แบบ ทำได้ถึงอกถึงใจคอภาพยนตร์ประเภทนี้แน่นอน ผมกล้ารับประกัน เพราะ มีฉากหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าดูแล้ว ชอบที่สุดก็คือ ฉาก ที่พระเอกขับรถหนี เฮลิคอปเตอร์ ของเหล่าร้าย ขอให้ลองสังเกตมุมกล้องของเค้าดูก็แล้วกันครับ ว่ามันสุด ๆ แค่ไหน แล้วอย่างนี้ ใครจะไปตามฝรั่งมันทันครับ ในเรื่องของมุมกล้องและการถ่ายภาพ ไม่ได้เยินยอฝรั่งหัวทอง หรือ ดูถูกคนไทยตาดำ ๆ นะครับ แต่เราต้องยอมรับนะครับว่า อีก 10 ปี ไม่รู้เราจะตามมันทันหรือเปล่า แต่ผมอยากเห็น ภาพยนตร์ไทยเราเป็นอย่างนี้บ้าง ดูและศึกษาเค้าให้ถ่องแท้ ว่าเค้าคิดอย่างไร ทำอย่างไร ถึงได้สื่อสารภาพออกมาอย่างที่เค้าทำได้ดี แต่ก็ขอตินิดนึงเถอะ อันนี้ เหมือน ภาพยนตร์ไทยเลยครับ ตอนจบน่ะ ไม่รู้ก็อปปี้ ภาพยนตร์ไทยมาหรือเปล่า ไปดูกันเองนะครับ
ความคุ้มค่า
และ ความชอบส่วนตัวผมอยากให้ 10 เต็ม แต่กลัวโดนด่า เพราะบางคนอาจจะไปดูมาแล้ว อาจจะไม่เห็นตรงกันกับผม เรื่อง มุมมอง มันก็ต่างกันออกไปอ่ะนะครับ อย่าว่ากันเลย เพราะ คะแนนที่ให้เนี่ย ผมให้ตามความชอบส่วนตัวนะครับ ก็ขอให้ 9.8 คะแนน เต็ม 10 ครับ
แล้วคราวหน้า เมื่อมีภาพยนตร์เรื่องที่น่าสนใจ “ นัวฟิล์ม” จะกลับมาเล่าให้ฟัง เช่นเคยครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ เข้ามาอ่านแล้ว โพสท์เข้ามา บอกความคิดเห็นกันบ้างนะครับ ว่า ชอบ หรือไม่ชอบ อย่างไร หรือ อยากให้ วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอะไร ก็บอกกันนะครับ สวัสดีครับ
"นัวฟิล์ม"