สวัสดีครับ เพื่อนที่รัก นักเสพย์ความเอนเตอร์เทนเม้นท์ ผ่านสื่อ อินเตอร์เน็ท กลับมาพบกันอีกครั้งนะครับ เมื่อมีภาพยนตร์ที่น่าสนใจ “นัวฟิล์ม” ก็จะนำมาวิจารณ์ให้เหล่าเพื่อน ๆ ในหนังดีดอทคอม ได้อ่านกันนะครับ
สำหรับวันนี้ผมจะพาท่านข้ามเวลาย้อนกลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์ กับภาพยนตร์ที่ถือว่าผมอยากดูที่สุด แต่ขณะเดียวกัน มันกลับสร้างความฉงนปนผิดหวังเล็ก ๆ ให้กับผมพอสมควร คือภาพยนตร์เรื่อง A SOUND OF THUNDER ครับ
ตัวภาพยนตร์
เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอนาคต ซึ่ง มนุษย์ชาติมีวิวัฒนาการถึงขั้น สามารถสร้างเครื่องย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้ และนั่นเอง เป็นที่มาของความหายนะของโลก เมื่อ มีคนเห็นแก่ได้ มากกว่า คนที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นจากน้ำมือตัวเอง เรื่องบอกถึง การเดินทาง ของกลุ่มทัวร์อดีต ที่ต้องบอกว่า พล๊อตเรื่องนั้น ทำได้น่าสนใจมากครับ เริ่มต้นได้ดีมาก หยิบเอา ทฤษฎี บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟค ที่ว่ากันว่า แม้ ผีเสื้อตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่กระพือปีกเพียงหนึ่งครั้ง นั้นก็สามารถจะมีผลกระทบกับสภาพแวดล้อมอีกซีกโลกเลยทีเดียว และนี่คือที่มา เนื่องจาก การทัวร์อดีต แต่กลับไปลุกล้ำธรรมชาติ ก็เลยทำให้เกิดเป็นความหายนะ ( สนใจแล้วใช่ไม๊ล่ะ บอกแล้วพล๊อตเรื่อง โอเค มาก ๆ) ตามมาเลยครับอย่ากระพริบตา
บทภาพยนตร์ และการกำกับ ภาพยนตร์
กล่าวอย่างแคบ ๆ เกี่ยวกับ บริษัท ไทม์ซาฟารี(ถ้าจำไม่ผิด) ที่เปลี่ยนจาก การทำทัวร์ท่องเที่ยวอดีต มาเป็น ทัวร์ล่าสัตว์ดึกดำบรรพ์ จาก ความโลภและเพราะรายได้ดีกว่า และ บทก็ตีกรอบอยู่ภายในบริษัทฯเท่านั้น เรื่องจึงดำเนินไปจนกระทั่งเกิดการผิดพลาด จึงถูกคลื่นเวลาจากอดีตลูกแล้วลูกเล่า ทำให้โลกในปัจจุบันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อันตรายมากขึ้น มีสัตว์ดึกดำบรรพ์ชั่วร้ายกระหายเลือดที่แปลกขึ้น วิวัฒนาการดีขึ้น และที่น่าตกใจคือ มนุษย์กำลังจะเปลี่ยนกลายสายพันธุ์ไป ทำให้การแก้ไข ของเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ (คือพระเอกไง)ทำได้ยากมากขึ้นและเสี่ยงภัยขึ้นทุกที ส่วนจะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่เล่าครับ เดี๋ยววัยรุ่นเซ็ง อิ อิ อิ ในส่วนของการกำกับ ถือว่า พื้น ๆ ครับ ไม่มีอะไรโดดเด่น เพราะเป็นการเล่าเรื่อง ตามพล๊อตเรื่องที่ เล่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในอดีตก่อน ย้อนกลับมาปัจจุบัน แล้วค่อย ๆ ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนสุดท้าย ม้วนกลับไป ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ในอดีต พร้อมเฉลยปม อ้า งง ละซิ่ แต่ถ้าเคยดู แพลนเนท ออฟ ดิ เอปส์ เดอะมูฟวี่ แล้วละก็ การเล่าเรื่องคล้ายคลึงกันครับ แต่ อะซาวด์ ออฟ ธันเดอร์ ถือว่าด้อยกว่าพอควรครับ ฉากตื่นเต้นก็พอมีให้ได้ สัมผัส และ ลุ้น แต่ก็ไม่ถึงกับ ตัวโก่ง แต่ก็ไม่เต็มอิ่มนัก เพราะ เหมือน ๆ กำลังจะ พีค (ถึงขีดสุด) ก็ขาดไปเฉย ๆ เลยทำให้รู้สึกไม่สุดเลยสักฉาก สัตว์ร้ายในเรื่องก็ออกกันมาพอสมน้ำสมเนื้อ แต่ที่ อนาจสุด น่าจะเป็น สัตว์ร้ายที่ชื่อซะน่ากลัว ดิ อิลล์ คิลเลอร์ (ปลาไหลมฤตยู) แหม ดูดุเดือดมาก ดุร้ายที่สุด อ้าวตายซะแระเหรอ เหวอ ๆ ๆ ไปเลย แต่การตกแต่ง สเปเชี่ยล เอฟเฟค ทำได้สมฐานะ(ของทุน) ครับ แต่ วิชช่วล เอฟเฟค หรือ คอมพิวเตอร์กราฟฟิค สอบตกครับ หลุดมาก ฉากหลัง กับตัวละคร เหมือน อยู่คนละเฟรมกันเลยครับ แบน ไม่มีมิติ แถมแสงยังโดดอีกด้วยครับ ให้อภัยไม่ได้เลย ไม่มีความสมจริงใด ๆ เลย เหมือนภาพยนตร์แผ่น มากกว่าครับ เพราะ หากดูจากจอทีวี ที่บ้านอาจมองเห็นไม่ชัด แต่เมื่อขึ้น จอภาพยนตร์ ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งมันใหญ่และชัดมาก โอ้แม่เจ้า มันสุดที่จะทน โดยเฉพาะ รถยนต์ ที่วิ่งบนถนน ในปี 2055 แข็งกระโด๊ก อย่างเหลือเชื่อ และอย่างเชย แต่องค์ประกอบอื่น ๆ อาทิ ฉากในแล็ป หรือ ในบ้าน สถานที่ต่าง ๆ ดีครับ ดีอย่างแตกต่าง เห็นได้ชัดเลย
ดารา
พระเอกเราดูจะเป็นคนที่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และ บริษัทฯ มาก ๆ ทั้งที่ไม่เห็นด้วยเลยกับผู้บริหาร ที่โลภมาก และ ทำให้เขาต้องกลายเป็นแพะ และ เป็นคนที่ต้องแบกความหวังของทุก ๆ คนไว้ สามารถเล่นบทบาทได้ดี ไม่ขัดเขิน แต่นางเอกของเรื่อง แก่ไปหน่อยที่จะเป็นนางเอก และ อ่อนไปหน่อย ที่จะเป็นคนที่สามารถ คิดค้นเครื่อง ไทม์ซาฟารี ขึ้นมา เลยดูแปลก ๆ พิกล แต่ก็ให้อภัยได้ เมื่อ เจอท่าน เบน คิงส์ลี่ ที่เล่นเป็น ผู้บริหาร โลภมาก เล่นได้อย่างน่าหมั่นใส้เป็นที่สุด ส่วน ดาราประกอบ ก็เล่นกันได้พอเหมาะพอควร ตามบทบาท ครับ ไม่มีอะไรหรือใครโดดเด่น มากกว่ากัน
ภาพรวม
เป็นภาพยนตร์ ที่ดูได้ ไม่ดู ก็ไม่เสียใจ(และไม่เสียตังค์) พล๊อตเรื่องดี แต่ โปรดักชั่นไม่ถึง ครับ แต่ก็ตื่นเต้น ได้ลุ้น พอสมควร เหมาะที่จะเป็น ภาพยนตร์บรรจุแผ่น มากกว่าครับ หากคุณ ติดตามการ โฆษณา หรือ ตัวอย่าง มาบ้างแล้ว อาจจะบอกว่า น่าดูชะมัด อันนั้น ยกให้เป็นความดี ความชอบ และ ความเก่ง ของคนตัด สปอตโฆษณา เค้านะครับ เหอ ๆ ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ข่าวว่า เป็นของ วอร์เนอร์ บราเดอร์ส แต่ ที่เมืองนอก ใช้วิธีการประมูลขายภาพยนตร์เรื่องนี้ วอร์เนอร์ฯ เลยไม่ได้เป็นผู้จัดจำหน่ายเอง ในบ้านเรา แต่เป็น มงคลเมเจอร์ ที่ได้ภาพยนตร์เรื่องนี้มาครับ (อันนี้บางคนอาจจะสงสัย)
ความคุ้มค่า
ผมให้ 6 คะแนน เต็ม 10 ครับ
แล้วคราวหน้า เมื่อมีภาพยนตร์เรื่องที่น่าสนใจ “ นัวฟิล์ม“ จะ กลับมาเล่าให้ฟัง เช่นเคยครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ เข้ามาอ่านแล้ว โพสท์เข้ามา บอกความคิดเห็นกันบ้างนะครับ ว่า ชอบ หรือไม่ชอบ อย่างไร หรือ อยากให้ วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง อะไร ก็บอกกันนะครับ สวัสดีครับ..
"นัวฟิล์ม"