"ถึงจุดหนึ่งเด็ก ๆ ต่างเชื่อว่าถ้าขุดลงไปลึกพอ ก็อาจจะไปโผล่ที่สวนส้มได้" คือหนึ่งในเรื่องราวเล็ก ๆ ที่โลกเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์สารคดี 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ (The Trapped 13: How We Survived The Thai Cave) อัดแน่นไปด้วยบทสัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟของเหล่าหมูป่าที่พาชีวิตรอดออกมาได้หลังเข้าไปติดอยู่ในถ้ำนานถึง 17 วัน โดยวันนี้เรามีบทสัมภาษณ์ที่ได้พูดคุยกับ ไพลิน วีเด็ล ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งจะมาบอกเล่าเหตุผลที่เลือกทำสารคดีเรื่องนี้ รวมทั้งสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ พร้อมแง่มุมใหม่ ๆ ที่ผู้ชมทั่วโลกจะได้พบ โดยสามารถรับชมได้แล้ววันนี้ที่ Netflix
ตอนที่มีข่าวเด็ก ๆ เข้าไปติดในถ้ำ คุณไพลินกำลังทำอะไรอยู่
ตอนที่มีข่าวออกมา เรากำลังจะแต่งงาน แล้วด้วยความที่เราเป็นนักข่าว เลยมีแต่คนโทรมาบอกให้เราไปทำข่าวนี้ แต่เราไปไม่ได้ ในที่สุดพอเขาช่วยน้อง ๆ ออกมาได้ เราร้องไห้เลย ไม่อยากเชื่อว่าน้อง ๆ จะรอดชีวิตมาได้ สารคดีเรื่องนี้จึงเลือกที่จะโฟกัสไปที่คำถามเดียวกับที่เรามีตอนนั้น นั่นก็คือ น้อง ๆ รอดชีวิตมาได้อย่างไร แล้วในช่วงเวลานั้นเขาคิดอะไรกันอยู่บ้าง
มาร่วมทำสารคดีเรื่องนี้ได้อย่างไร
ตอนแรกเขาจ้างเราไปเป็นคนเก็บข้อมูลให้ซีรีส์เรื่อง ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง (Thai Cave Rescue) เราต้องไปสัมภาษณ์น้อง ๆ กับพ่อแม่ รวมถึงโค้ชเอกด้วย แต่ Netflix มากระซิบกับเราว่ามีโอกาสที่จะทำให้เป็นสารคดีได้หรือเปล่าในช่วงที่เราเข้าไปทำงาน ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะทำได้ เพราะไม่แน่ใจว่าน้อง ๆ กับโค้ชจะทำอะไรที่น่าเล่าออกมาในช่วงที่ติดอยู่ในถ้ำและรอการช่วยเหลือ แล้วยังจะมีอะไรให้เล่าออกมาอีกไหมในแบบที่ยังไม่ได้เล่าในหนังเรื่องอื่น ๆ ที่กำลังถ่ายทำกันอยู่ในตอนนั้น
แต่พอเราได้ไปคุยกับน้อง ๆ ครั้งแรกก็รับรู้ได้เลยว่าไม่ค่อยมีใครได้ฟังมุมมองของเขา สิ่งที่ออกมาในข่าวส่วนใหญ่เป็นข้อมูลความจริง แต่ไม่มีใครได้มาพูดคุยกับน้อง ๆ ในเชิงลึก ถามถึงอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดในใจของน้อง ๆ จริง ๆ
เรื่องราวที่เราได้จากการสัมภาษณ์มันมหัศจรรย์มาก เป็นเรื่องราวที่มีทั้งความหวัง ความพ่ายแพ้ ความทรหดอดทน แล้วก็ยังมีอารมณ์ขันด้วย เป็นเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจให้ชีวิต จุดนี้แหละที่เอาเราอยู่ มันไม่ใช่แค่เอามาทำหนังได้ แต่มันควรนำออกมาเล่าจริง ๆ เพราะน้อง ๆ มีสิ่งที่อยากพูดและเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน
คุณกังวลเรื่องอะไรบ้างในช่วงเริ่มต้น
เราเป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจของน้อง ๆ มากที่สุด แล้วเราก็ไม่อยากจะสร้างสารคดีที่เล่าเรื่องราวความบอบช้ำทางจิตใจ ก่อนมาเจอกับน้อง ๆ เราปรึกษากับทีม MIND ของ Netflix (ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต) ด้วยเพื่อสังเกตสัญญาณเรื่องความบอบช้ำทางจิตใจ
เราเริ่มต้นด้วยการไปพูดคุยแบบสบาย ๆ กับน้อง ๆ ทั้ง 12 คนรวมทั้งพ่อแม่ของน้อง ๆ ด้วย แรก ๆ ก็พูดคุยกันได้ดี แต่ในที่สุดเราเลือกใช้เฉพาะบทสัมภาษณ์ของคนที่แสดงให้เราเห็นว่าเขาต้องการบอกเล่าเรื่องของเขาและกระตือรือร้นที่จะเล่าออกมา เราเอาบทสัมภาษณ์ของมินิซีรีส์มารวมกับบทสัมภาษณ์ของสารคดีให้ได้มากที่สุดเพื่อที่น้อง ๆ จะได้ไม่ต้องใช้เวลาเยอะในการคิดเรื่องที่จะเล่า
คิดว่าอะไรช่วยให้น้อง ๆ รอดมาได้
เราเซอร์ไพรส์ที่รู้ว่าโค้ชเอกมีส่วนสำคัญมากในการทำให้น้อง ๆ อยู่ด้วยกันได้ เราเชื่อว่าน้อง ๆ รอดมาได้เพราะความเป็นผู้นำของโค้ชเอกแล้วก็ตี๋ ผู้ช่วยของโค้ชเอก ทั้งสองคนนี้มีกลยุทธ์ในการเบี่ยงเบนความสนใจ แล้วก็ช่วยสร้างความหวังให้กับน้อง ๆ ได้ดีมาก
ในขณะเดียวกัน น้อง ๆ เองก็มีส่วนสำคัญมากด้วยที่ทำให้ตัวเองรอดออกมา ตอนที่เราถ่ายทำฉากจำลองถ้ำ ทีมงานของเราที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังรู้สึกกลัว แต่เพราะน้อง ๆ โตมาแบบชีวิตมีอุปสรรคเต็มไปหมด เขาจึงแกร่งกว่าอีกหลาย ๆ คน เราไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นเด็กจากในเมืองไปติดอยู่ในถ้ำนานขนาดนี้จะรอดกันหรือเปล่า
ทีมหมูป่าทรหดมาก คือถึงแม้ว่าจะดูไม่ได้บอบช้ำทางจิตใจจากการต้องไปติดอยู่ในถ้ำ แต่น้อง ๆ ก็มีความรู้สึกผิดเยอะเลยที่ทำให้เกิดความวุ่นวายแบบนี้ หลายคนรู้สึกว่าตัวเองต้องทำตัวให้ดีสมกับที่หลายคนพยายามช่วยชีวิตเขาออกมา
เรื่องราวนี้ให้แรงบันดาลใจกับคุณอย่างไรบ้าง
ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ในโลกที่ค่อนข้างไร้ความหวัง แต่เรื่องนี้ย้ำเตือนให้เรารู้ว่าไม่ว่าอะไรจะย่ำแย่แค่ไหน แต่เรายังมีความหวังเล็ก ๆ ในการเอาชีวิตรอดได้เสมอ เหมือนที่คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าน้อง ๆ จะรอด แต่ก็รอดมาได้
ตามไปรับชมมุมมองของเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์จากปากของผู้รอดชีวิตตัวจริงได้ในผลงานภาพยนตร์สารคดีคุณภาพ 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ (The Trapped 13: How We Survived The Thai Cave) พร้อมให้รับชมได้แล้ววันนี้ที่ Netflix เท่านั้น