ในตอนแรกผมไม่อยากมีส่วนร่วมใด ๆ ทั้งสิ้น แต่พอผมได้อ่านจดหมายของ ทอม กอร์มิแคน (ผู้กำกับ) ผมคิดว่า โอเค เขาไม่ได้แค่อยากล้อความเป็น นิค เคจ เขาสนใจผลงานในยุคนั้นของผมจริงๆ เขาอยากนำฉากในความทรงจำที่ผมเคยฝากไว้กลับมากอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นฉากใต้สระน้ำใน Leaving Las Vegas หรือตอนที่ผมใช้ปืนทองใน Face/Offผมให้ทอมเป็นมันสมองของเรื่องนี้ เพราะเขาเต็มไปด้วยไอเดีย เป็นคนฉลาดมาก แน่นอนว่าเขาใช้สมองทำงานได้เฉียบสุดๆและเขามีความคิดดี ๆ เกี่ยวกับผม บางอันมันฮามาก และงานของผมในฐานะนักแสดง คือถ่ายทอดจินตนาการของผู้กำกับออกมาแต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผม ผมเหมือนเล่นเป็นตัวละครที่ชื่อนิค เคจ ในหนังคือตัวละครสมมุติ เขาเป็นดาราดังที่กำลังตกอับ พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็นดาราแนวหน้าอีกครั้ง แต่ปัญหาใหญ่ที่เขาต้องรับมือเป็นอย่างแรกคือความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาและภรรยาเก่า โอลิเวีย (ชารอน ฮอร์แกน) รวมถึงลูกสาว แอ็ดดี้ (ลิลี่ ชีน) กำลังแตกสลายโดยที่เขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ นิค เคจในหนังมาจากจินตนาการของทอม เขาคลั่ง เพี้ยน เดือดจัด ต่างกับตัวผมในทุกวันนี้เลย แต่ทอมบอกว่านั่นคือนิค เคจเวอร์ชันที่จะมอบความบันเทิงให้แฟน ๆ ได้ดีที่สุดจุดที่ผมชอบมากแต่เสียดายที่มันอาจโดนตัดออกไปแล้ว คือซีเควนซ์ที่ตัวละคร นิค เคจ รำลึกบทต่าง ๆ ที่ผ่านมาของเขาผ่านสไตล์การเล่าเรื่องแบบ German expressionism เป็นขาวดำ เหมือนหนังอย่าง The Cabinet of Doctor Caligari คุณจะได้เห็นฉากซิ่งรถมัสแตงจาก Gone in 60 Seconds ได้เห็นตัวละครของผมจากเรื่อง Leaving Las Vegas ในห้องโรงแรมผมชอบตัวละคร นิคกี้ มาก ๆ นิคกี้คือตัวผมตอนหนุ่ม ๆ ตอนแรกเราคืดว่าจะให้เขาลุคเหมือน คาเมรอน โป ใน Con Air แต่นั่นไม่ใช่ผมเลย ลองเทียบกับตอนที่ผมไปออกรายกายทอล์กโชว์ The Wogan Show ที่อังกฤษตอนโปรโมตเรื่อง Wild at Heart นั่นใช่ผมมากกว่า หมอนั่นมันคลั่ง, ไม่สนโลก, โคตรยโส ตัวผมในเวอร์ชันนั้นแหละที่เหมาะกับเป็นคู่ปรับของผมในปัจจุบันที่สุด
ต่างกันสิ้นเชิง ผมไม่มีทางทิ้งครอบครัวไปพบใครก็ไม่รู้เพื่อเงินหรอก สำหรับผมครอบครัวคืออันดับหนึ่ง ที่ผ่านมาผมยอมทิ้งบทที่จะสร้างชื่อให้พบมากมายก็เพราะครอบครัว ตอนที่ผมจัดการเรื่องหย่า (เมื่อปี 2001 กับ แพทริเซีย อาร์เควตต์) ผมไม่อยากทิ้งลูกชายไปถ่าย The Lord of the Rings ที่นิวซีแลนด์ตั้งสามปี หรือตอนที่ผมปฏิเสธบทนำใน The Matrix ผมเลือกที่จะอยู่กับลูกชายที่ LA เหมือนเดิมไม่มีผมเวอร์ชันไหนในจักรวาลไหนที่นิโคลัส เคจ ไม่ใช้เวลากับลูก ๆ แต่เพราะหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับนักแสดงที่เห็นอาชีพตัวเองสำคัญอันดับหนึ่ง และพยายามกู้ชื่อของเขาคืนมาเขาไม่ได้ใช้เวลากับลูกสาวเหมือนที่เขาควรจะทำซึ่งผู้กำกับบอกว่า ตัวละครมีพัฒนาการ ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อจะเป็นคนที่ดีขึ้น จนถึงจุดที่สามารถเลือกที่จะใช้เวลากับลูกสาว รับบทโดย ลิลี่ ชีน แทนที่จะโหยหาชื่อเสียง เอาแต่เล่นหนังนั่นคือข้อแตกต่างสำคัญระหว่างผมตัวจริงและผมในหนังแต่ทอมบอกว่า นี่มันเป็นหนัง เราพยายามจะเล่าเรื่องของตัวละครที่มีการเติบโตทางความคิด ซึ่งผมเข้าใจนะ แต่คงต้องบอกก่อนว่าตัวผมในชีวิตจริงกับในหนังมันต่างกันมาก ผมยังบอกกับทอมด้วยว่า ผมไม่ได้ใช้คำหยาบเยอะขนาดนั้น ในหนังเขาเขียนใหัผมแจกฟักเป็นว่าเล่น เขาบอกผมว่า นิค เคจ ที่เสียสติคือ นิค เคจ ที่มันส์ที่สุด ชีวิตประจำวันของผมก็แค่อ่านหนังสือ เล่นกับแมว แต่ถ้านั่นมาทำเป็นหนังคงน่าเบื่อจนไม่มีใครอยากดู
ทอมกับผมนัดทานมื้อกลางวันกับเพโดร เหตุผลที่ทำให้เราเลือกเขา เพราะนอกจากที่เขาจะเป็นนักแสดงขั้นเทพแล้ว เขาก็ยังชื่นชอบผลงานของนิคมาก เขาลงล็อกทุกอย่าง
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคือ ทอม มอบอารมณ์ขันให้หนังเยอะมาก เขาเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เขานำทางให้ผมไปในจุดที่ผมไม่คิดว่ามันจะตลก แต่กลายเป็นว่ามันออกมาฮาสุด ๆ หนึ่งในนั้นคือซีนที่ผมเล่นเปียโนในงานวันเกิด นั่นคือซีนที่จำกัดความการเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน แต่ทำไมมันออกมาฮาขนาดนั้นก็ไม่รู้ผมฟังสิ่งที่เขาพูด ผมคิดว่าเราร่วมสร้างสรรค์กันได้เข้าขา ผมพอใจกับผลที่ออกมามากสิ่งที่เรามีเหมือนกันเหรอสองสิ่งแรกที่นึกออกเลย คือความรักในภาพยนตร์ซึ่งมันมีหลายซีนในหนังที่ฮาวี่ ตัวละครของเพโดร กับตัวละครของผมคุยกันเรื่องหนัง มันเหมือนมีอะไรสปาร์กขึ้นจริง ๆ ในซีนหรือในบทพูดนั้นมันสมจริงมาก ๆ
ที่น่าขำคือตอนที่ Pig ออกฉาย มันไม่ได้โดนใจแค่แฟนหนังอินดี้ แต่โดนแฟนวงกว้างด้วย ผมโทรบอกทอมว่า เราคงต้องแก้บทกันใหม่แล้ว ผมเริ่มศึกษาปรัชญา เลิกไปงานแจกรางวัลเพื่อนำเสนอตัวเอง ผมตัดสินใจทำงานเพื่อเติมเต็มมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีหนังอย่าง Sorcerer’s Apprentice, Ghost Rider หรือ Drive ที่แป้กสามเรื่องติด ทั้งสองอย่างมันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันแต่ผมจำได้ว่าเสียงโทรศัพท์ผมดังตลอดนะ ผมแค่กลับไปยังรากเดิมของผมซึ่งคือหนังนอกกระแส ถ้าคุณย้อนกลับไปดูตลอดเส้นทางนักแสดง 43 ปี หนังของผมทำรายได้รวมเกือบหกพันล้านเหรียญ หนังแป๊กแค่สามเรื่องไม่ได้ทำให้ชื่อคุณหายไปจากวงการหรอก
เป็นคำถามที่ดีนะ ตอนที่ผมโดนฟ้องล้มละลาย ผมตัดสินใจใช้การทำงานหาเงินมาแก้ปัญหา แต่ผมก็รับแต่งานที่ผมรู้สึกว่าผมสามารถมอบบางสิ่งให้ได้นะ ผมปัดผจก.ไปหลายงาน แต่ผมว่าการทำงานอย่างต่อเนื่องทำให้ผมเป็นนักแสดงที่เก่งขึ้นผมมีชุดความคิดที่ว่า ผมไม่ได้มีอาชีพ ผมมีแค่งาน ที่ผมคิดแบบนั้นคือผมเป็นคนที่ดีกว่าเวลาทำงาน เพราะผมไม่อยากเป็นคนที่นั่งจิบไหมไทอยู่ริมสระไปวัน ๆ มันกระตุ้นให้ผมดูแลตัวเอง ตื่นขึ้นมาวิ่ง, ยกเวท, ดูข่าว ชีวิตผมดีเสมอเวลามีถ่ายงาน
ผมว่าจีน ไวล์เดอร์ จะแสดงฝีมือสุดยอดในหนังเรื่องนี้ ผมยอมจ่ายเงินไปดูเลยล่ะ อันที่จริงตอนแรกไม่แน่ใจนักว่าอยากรับบทเป็นตัวละครที่เป็นชื่อผมเอง ผมไม่อยากเล่นอะไรที่เหมือนโชว์ตลกของ Saturday Night Live แต่พอผมได้อ่านจดหมายของผู้กำกับ ทอม กอร์มิแคน ผมตระหนักได้ทันทีว่าเขาเป็นคนรักหนัง เขาคลั่งไคล้งานของผมจริง ๆ