ในบทสัมภาษณ์กับทาง BBC The One Show หนึ่งในนักแสดงคนสำคัญจากโลกเวทมนตร์ที่ใคร ๆ ก็หลงรัก อิแวนน่า ลินช์ (Evanna Lynch) เปิดใจถึงการทำงานกับแฟรนไชส์ Harry Potter และการได้รับบทเป็น ลูน่า เลิฟกู๊ด นั้นช่วยเยียวเธอจากอาการกินอาหารไม่ปกติของเธอในช่วงวัยเด็กได้อย่างไร โดยเจ้าตัวบอกว่าเรื่องราวที่เธอมีส่วนร่วมในวัยเด็กนั้นช่วยให้เธอมีอาการดีขึ้นยิ่งกว่าการได้พบแพทย์เสียอีก เพราะการทำงานในครั้งนั้นทำให้เธอลืมคิดเรื่องร่างกายและอาหารการกินไปได้

นอกจากนี้ตัวละคร เลิฟกู๊ด นั้นยังเป็นแรงบันดาลใจให้ ลินช์ อย่างมาก เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับการยอมรับในตัวของตัวเอง ทำให้การรับบทเป็นตัวละครนี้เป็นเหมือนฝันที่แท้จริง ทั้งยังช่วยให้เธอเยียวเรื่องการกิน การดูแลตัวของตัวเองอีกด้วย

“มันเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของชีวิตฉันเลยค่ะ มันเป็นช่วงเวลาที่มืดมัว มันรู้สึกไร้ค่ามากเลยค่ะ ในช่วงอายุตอนนั้นฉันมีคำถามกับตัวเองเสมอว่า ฉันเป็นใคร ฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันมีค่ายังไง ตอนอายุเท่านั้นฉันไม่เคยยอมรับตัวเอง มีแต่เกลียดตัวเองค่ะ มันมีแต่อะไรแย่ ๆ ที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพของฉันค่ะ ทั้งการควบคุมอาหาร ดูแลร่างกาย ซึ่งกลายเป็นอาการกินที่ผิดปกติในภายหลัง มันทำให้รู้สึกเหนื่อย รู้สึกหมกมุ่น เหมือนสูญเสียความเป็นตัวเอง สูญเสียนิสัยของตัวเองไปค่ะ พ่อแม่ของฉันก็โทษตัวเองว่าพวกเขาทำอะไรผิดไป เพราะสิ่งที่พวกเขาให้ฉันมาตลอดก็คือความรัก มันเป็นอาการทางจิตใจค่ะ”

ลินช์ กล่าวต่อว่า “เรื่องราวของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ มีอะไรบางอย่างที่สามารถเอาชนะใจของฉันได้ และทำให้ฉันรู้สึกรักการมีชีวิตอยู่ มันสวยงามและงดงาม รวมถึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันเลิกคิดเกี่ยวกับการกินแล้วก็การออกกำลังกาย ฉันเขียนถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง เพื่อขอบคุณที่เธอสร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่ส่งผลต่อฉันมากขนาดนี้ ฉันโชคดีมากที่ฝันของฉันเป็นจริง ลูน่า เลิฟกู๊ด เป็นตัวละครที่มีอิทธิพลของชีวิตของฉันมากเพราะเธอเป็นคนที่สงบนิ่ง และยอมรับในตัวของตัวเอง สุขภาพของฉันคงที่มากตอนที่ฉันถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เรื่องของอาหารการกินของฉันก็กลับมาเป็นปกติ พ่อแม่ของฉันก็บอกว่าถ้าลูกไม่ดูแลตัวเองลูกอาจจะเสียบทนี้ไปเลยนะ มันเป็นเรื่องจริงมากสำหรับฉันค่ะ ฉันรู้สึกเสมอตอนที่อยู่ในฉากถ่ายทำว่า โอเค ตอนนี้ฉันอยู่ในร่างของ ลูน่า นะ ฉันสามารถค่อย ๆ หายใจ นิ่งสงบลงนิดหนึ่ง และเข้าใจสิ่งรอบกาย มันเป็นเหมือนคำอวยพรเลยค่ะที่ได้มารับบทเป็นเธอ”

ที่มา : screenrant.com | twitter BBC The /