นิค ดันน์ (เบน แอฟเฟล็ค) เดินทางมาถึงบ้านในวันครบรอบแต่งงานปีที่ 5 และพบว่าประตูหน้าบ้านเปิดแง้มอยู่ เฟอร์นิเจอร์ เรียงรายอยู่ในห้องรับแขก และไร้วี่แววของภรรยาแสนสวยที่มีชื่อเสียงของเขา จึงเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของเขาขึ้นทันทีจากสามีผู้โชคดีกลายเป็นผู้ชายที่สื่อต่างจับตามอง เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลข 1 อดีตเด็กหนุ่มผู้เลอโฉมของเมืองได้ถูกดึงเข้าไปในเหตุการณ์แห่งการโกหก การหลอกลวง และความไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเขา ภาพลักษณ์ของเขาต่อสื่อไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาเกิดความผิดหวัง เกิดความแค้น มีปมปริศนาที่ยังค้างอยู่ในใจ แต่นิคคือฆาตกรจริงหรือ?
เบน แอฟเฟล็คต้องมารับบทที่ต้องปกป้องและเปิดเผยตัวเองสลับกันไป ฟินเชอร์เล่าถึงการคัดตัวเขาให้ฟังว่า “การคัดนักแสดงมารวมตัวกันก็เหมอืนการรวมทีมนักบาสเก็ตบอล และนิคก็อยู่ในตำแหน่งผู้ทำแต้ม เขาต้องปลูกฝังการเล่าเรื่องประกอบ จะมีแต่คำว่า ‘เขาเล่าว่า เธอเล่าว่า’ ในหนังสือ แต่ในหนังจะเป็นคำว่า ‘สิ่งที่เขาพบ สิ่งที่เธอพบ’ มันมีความเป็นนามธรรมมากกว่า คุณอาจรู้สึกอึดอัดกับบทสนทนาลึกๆ ของหนังเรื่องนี้ ฉะนั้นเราต้องอาศัยนักแสดงที่มีความชำนาญมากมารับบทนี้ มันเหมือนหมากรุก 3 มิติ ไม่ใช่หมากรุกจีน”
ฟินเชอร์รู้สึกว่าแอฟเฟล็คมีบุคลิกของผู้ชายที่ถูกดึงดูดไปในทางที่ถูกหรือผิด ภายใต้ความโกรธของสังคม “จนในสุดท้ายเบนได้รับผลกระทบ แต่ในตัวเขาก็มีบางอย่างด้วย… มีบางอย่างในรอยยิ้มของเขา นิคต้องยืนอยู่หน้าโปสเตอร์ของเอมี่และถูกยั่วยุให้แสดงอาการออกมา ผมต้องหาใครสักคนที่ทำแบบนั้นได้โดยอาศัยเล่ห์และกล” ผู้กำกับฯ อธิบายว่า “ผมคิดว่านักแสดงส่วนมากใช้ชีวิตไปกับการพยายามเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคมที่น่ากลัวแบบที่นิคกำลังเจออยู่ แต่เบนเป็นคนที่หัวไว ร่าเริง และเข้าใจถึงความซับซ้อนในวิธีการจัดการเรื่องภาพลักษณ์ในที่สาธารณะของนิคเมื่อภาพยนตร์ดำเนินเรื่องไป จนกลายเป็นผู้ชำนาญได้ในท้ายที่สุด เขาเข้าใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และเข้าถึงสถานการณ์ที่น่าขำนี่ได้ดี”
แอฟเฟล็คเล่าว่าช่วงแรกที่คุยกับฟินเชอร์ถือเป็นการสร้างข้อตกลงพื้นฐาน “เขาบอกว่ามันจะดูเป็นการแสดงแบบไร้สาระไม่ได้ คุณได้รับมอบหมายให้มาแสดงถึงจุดอ่อนของผู้ชายคนนี้” เขาจำได้ “คุณต้องตั้งแสดงความอึดอัดออกมาให้สมจริง ไม่ใช่ ‘ทำเหมือนอึดอัด’ หรือ ‘อับอาย’ แต่ต้องแสดงตัวตนเหล่านั้นของคุณออกมาจริงๆ เวลาที่คิดว่า ‘ทำไมเราถึงพูดแบบนั้น? ทำไมเราถึงทำแบบนี้?’ ผมรู้ว่ามันเสี่ยง แต่ผมคงไม่ยอมทำถ้าผมไม่ไว้ใจในตัวผู้กำกับฯ จริงๆ ผมว่าเขาคือคนที่เหมาะกับเกมนี้ มันเป็นอะไรที่ฉลาดมาก แต่ตอนหลังเวลาที่ผมรู้สึกอับอายในการเป็นนิค ผมต้องจำไว้เลยว่านี่คือสิ่งที่เขาบอกผมเอาไว้ตั้งแต่แรก!”
การทำงานตามขั้นตอนของฟินเชอร์ที่มีความพิเศษได้สร้างความสุขให้กับแอฟเฟล็คมาก “หนังส่วนใหญ่เราต้องใช้เวลา 2/3 เพื่อนั่งอยู่ในรถเทรลเลอร์ และถ่ายทำแค่ 1/3 แต่สัดส่วนที่ทำงานกับเดวิดจะตรงกันข้ามกันหรือมากกว่านั้น เราอาจไม่ได้ทำงานเพียงแค่ 10%” เขาอธิบายให้ฟัง “องค์ประกอบทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นมาในฉากมีความเกี่ยวข้องกับตัวละคร เนื้อเรื่อง และไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิเลย ผมได้เรียนรู้หลายอย่างจากการทำงานร่วมกับเดวิด เขาเป็นคนที่มีประสิทธิภาพจริงๆ และถ่ายทอดสิ่งที่เขาต้องการออกมาได้ เขามีความเข้าใจในเทคโนโลยีที่เป็นรากฐานของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และมีความคิดแบบนักวางแผน มีรสนิยมแบบศิลปิน ซึ่งเป็นการผสมผสานที่หาได้ยากมากครับ”
การร่วมงานกับโรซามันด์ ไพค์ ในบท เอมี่ ทำให้แอฟเฟล็คต้องอยู่ในห้วงแห่งความใกล้ชิดต่างจากที่เขาเคยพบมาก่อน “โรซามันด์มีความลึกลับ ยากจะอธิบาย ซึ่งนั่นทำให้เธอเหมาะกับบทนี้มากครับ” เอ็ฟเฟล็คสังเกตว่า “ส่วนสำคัญของหนังเรื่องนี้ อย่างน้อยจากมุมมองของผมคือการร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องจะแสดงให้เห็นว่าตัวละครอยู่ตรงไหนจากการที่พวกเขาเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้นความลึกลับในตัวเอมี่จึงมีความสำคัญมากสำหรับภาพโดยรวม"
นักแสดงทุกคนต้องจัดวางนิคในมุมมองที่ต่างกันไป ทั้งสอบสวนนิค แก้ต่างให้นิค กังขาในตัวนิค ล้วนประทับใจในตัวเอ็ฟเฟล็คทุกคน เขาเล่าว่า “มีทางเลือกหลากหลายที่น่าสนใจครับ ไทเลอร์ เพอร์รี่ไม่เคยรับบทแนวนี้มาก่อน แคร์รี่ คูน ก็รับบท โก ได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนนีลก็สุดยอดมากเพราะเขากล้าหาญสุดๆ เราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา การคัดเลือกตัวนักแสดงครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงตัวผู้กำกับฯ ที่อยากสร้างความเซอร์ไพรส์ให้ผู้ชมตลอดเวลา”
**เปิดรอบ Sneak Preview พิสูจน์ความสนุกของหนังอันดับ 1 US Box Office
**16-22 ตุลาคมนี้ รอบ 20.00 น. เป็นต้นไป ฉายจริงวันที่ 23 ตุลาคม นี้
**คำเตือน กรุณาอย่าสปอยล์, อย่าเปิดเผยตอนจบของหนังหลังจากดูจบ**
https://www.facebook.com/GoneGirlMovieThailand