No Time To Die (007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ) กวาดรายได้รวมทั่วโลกมากกว่า 10,700 ล้านบาท (326 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) หลังจากการเข้าฉายทั่วโลกมา 2 สัปดาห์ โดยรายได้จากการฉายในสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท (67 ล้านเหรียญสหรัฐ) สำหรับในประเทศไทย No Time To Die เข้าฉายเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา สามารถทำรายได้จากการฉายทั่วประเทศในไทยอยู่ที่ประมาณ 33 ล้านบาท (1 ล้านเหรียญสหรัฐ) จากการเข้าฉายเพียง 7 วัน ซึ่งเป็นการออกฉายหลังจากที่มีมาตรการผ่อนคลายการควบคุมการระบาดของโควิด-19 โดยโรงภาพยนตร์สามารถเปิดทำการได้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา
No Time To Die (007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ) คือภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ลำดับที่ 25 เป็นภาคที่แดเนียล เครก มารับบทนำเป็นครั้งที่ 5 และเป็นครั้งสุดท้ายในภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้ ภาพยนตร์กำกับโดย แครี่ โจจิ ฟุกุนากะ โดยมีทีมนักแสดงชุดเดิม อย่าง เลอา เซย์ดูว์, เบน วิชอว์, นาโอมิ แฮร์ริส, เจฟฟรี่ย์ ไรท์, คริสทอฟ วอลทซ์,รอรี่ คินเนียร์ และเรล์ฟ ไฟนส์ ในบท “เอ็ม” พร้อมเสริมทัพทีมนักแสดงใหม่อย่าง รามี มาเลค, ลาชานา ลินช์ และอนา เดอ อาร์มัส
ใน No Time To Die เจมส์ บอนด์กำลังสนุกไปกับการใช้ชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพราะเฟลิกซ์ เลเทอร์ เพื่อนเก่าจากซีไอเอ มาขอให้เขาช่วยทำงาน เป้าหมายคือช่วยชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์ต้องเข้าไปเผชิญกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในหลายประเทศ อาทิ นอร์เวย์, อิตาลี, จาไมก้า, อังกฤษ และหมู่เกาะฟาโรห์ ซึ่งการถ่ายทำในหลายพื้นที่นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของภาพยนตร์ เพราะสะท้อนถึงอารมณ์และโทนของเรื่องราว รวมทั้งนำผู้ชมเดินทางไปสู่ดินแดนที่งดงาม น่ากลัวหรือลี้ลับของโลก
ไม่มีแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องไหนที่จะนำเสนอดนตรีที่หลากหลายน่าประทับใจได้เท่ากับเจมส์ บอนด์อีกแล้ว สำหรับ No Time To Die ทีมผู้สร้างได้ร่วมงานกับฮันส์ ซิมเมอร์ นักประพันธ์ฝีมือเยี่ยม เจ้าของ 4 รางวัลแกรมมีและรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และเป็นธรรมเนียมของบอนด์ที่จะต้องมีศิลปินระดับโลกมาร่วมงานในไตเติล แทร็ค สำหรับ No Time To Die ทีมผู้สร้างเลือกบิลลี ไอลิช เจ้าของรางวัลแกรมมีมาร่วมงานด้วย
No Time To Die (007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ) เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์