ตลอดช่วงเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ทุกเรื่องของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) นับตั้งแต่ Insomnia (2002) รวมไปถึง The Dark Knight ไตรภาค มาจนถึงผลงานชิ้นล่าสุด Tenet (2020) นั้นอยู่ในมือของ Warner Bros. มาโดยตลอด แต่เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวออกมาว่า โนแลน กำลังเจรจากับค่ายหนังยักษ์ใหญ่หลาย ๆ ค่ายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ผลงานชิ้นต่อไปของเขา และล่าสุดสำนักข่าว Deadline ก็ออกมาแจ้งข่าวยืนยันแล้วว่าภาพยนตร์เรื่องต่อไปของ โนแลน จะทุ่มทุนสร้างและจัดจำหน่ายโดย Universal Pictures
ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของ โนแลน จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และจะโฟกัสไปที่ภารกิจของ เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ (J. Robert Oppenheimer) ในการพัฒนาระเบิดปรมาณูระหว่างสงคราม
คาดว่าการถ่ายทำจะเริ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 และยังมีรายงานข่าวออกมาอีกว่า คิลเลี่ยน เมอร์ฟีย์ (Cillian Murphy) ก็อาจจะเข้ามามีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ เมอร์ฟีย์ เคยร่วมงานกับ โนแลน มาแล้วถึง 5 เรื่อง ทั้ง Batman Begins (2005), The Dark Knight (2008), The Dark Knight Rises (2012), Inception (2010) และ Dunkirk (2017)
ข่าวนี้ออกมาหลังจาก โนแลน วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของ Warner Bros. ที่ส่งหนังในปี 2021 ฉายทาง HBO Max พร้อมกำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ โดย โนแลน แย้งว่า "มันไม่สมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจ"
"ผู้สร้างภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุด และนักแสดงภาพยนตร์ที่สำคัญที่สุดบางคนในวงการของเราต้องเข้านอนในคืนก่อนที่จะคิดว่าพวกเขาได้ทำงานให้กับค่ายหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุด แล้วก็ต้องตื่นมาพบว่าพวกเขาได้ทำงานให้กับบริการสตรีมมิ่งที่แย่ที่สุด" โนแลน กล่าวไว้เมื่อปีที่ผ่านมา
"Warner Bros. มีกลไกที่น่าทึ่งเพื่อให้คนสร้างหนังทำงานได้ทุกที่ ทั้งในโรงภาพยนตร์และในบ้าน แต่พวกเขาก็กำลังรื้อถอนมันในขณะที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้" โนแลน เสริม "พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังสูญเสียอะไรไป การตัดสินใจของพวกเขามันไม่สมเหตุสมผลในทางเศรษฐกิจเลย แม้แต่นักลงทุน Wall Street ทั่ว ๆ ไปก็ยังสามารถมองเห็นได้ถึงความแตกต่างระหว่าง การทำลาย กับ ความบกพร่องในการทำงาน"