สการ์เลตต์ โจแฮนสัน (Scarlett Johansson) ตัดสินใจฟ้องร้องดิสนีย์ที่ศาลชั้นต้นลอสแอนเจลิส เหตุผิดสัญญาข้อตกลงฉายภาพยนตร์ Black Widow บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Disney+ ไปพร้อม ๆ กับเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ส่วนตัวของเธอเข้าหลักล้าน! โดยทนายของ โจแฮนสัน เผยในเอกสารการฟ้องร้องว่า แรกเริ่ม Black Widow จะต้องฉายในโรงภาพยนตร์เท่านั้น และส่วนแบ่งหลักของ โจแฮนสัน จะมาจากกำไรของยอดขายตั๋วภาพยนตร์
“ดิสนีย์จงใจละเมิดข้อตกลงของมาร์เวลโดยปราศจากเหตุผล ทำให้ โจแฮนสัน ไม่ได้ผลประโยชน์สูงสุดจากการต่อรองของเธอกับมาร์เวล” เพิ่มเติมคำร้องจาก จอห์น เบอร์ลิยสกี (John Berlinski) ทนายของ โจแฮนสัน กล่าวว่า “มันไม่ได้เป็นความลับอะไรที่ดิสนีย์จะนำภาพยนตร์อย่าง Black Widow เข้าฉายทาง Disney+ โดยตรงเพื่อเพิ่มยอดผู้ติดตามและเพิ่มมูลค่าหุ้นของตัวบริษัทท และยังมีเหตุโคโรน่าไวรัสที่เป็นเหตุเบื้องหลังของการกระทำเหล่านั้น แต่การเมินเฉยต่อสัญญาของศิลปินที่รับผิดชอบต่อความสำเร็จของภาพยนตร์ในการส่งเสริมกลยุทธ์ระยะสั้นนี้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิของพวกเขา และเราจะพิสูจน์ต่อชั้นศาลให้ได้มากที่สุด ที่จะไม่ใช่คดีสุดท้ายที่ยอดฝีมือของฮอลลีวูดลุกขึ้นเผชิญหน้ากับดิสนีย์และทำให้ทุกอย่างชัดเจนว่าไม่ว่าบริษัทจะแสร้งทำอย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังคงมีข้อผูกมัดทางกฏหมายที่ต้องเคารพอยู่ดี”
ล่าสุดทาง ดิสนีย์ ได้ออกมาตอบรับการฟ้องร้องดังกล่าวว่า “การฟ้องร้องในครั้งนี้ไม่มีมูลเหตุใดทั้งสิ้น มันเป็นการฟ้องที่น่าเศร้า และน่าวิตกอย่างยิ่งจากการที่ไม่ได้มีความสนใจผลกระทบทั่วโลกที่น่าหวั่นใจและยาวนานของโคโรน่าไวรัส ดิสนีย์ได้ปฏิบัติตามสัญญาของ คุณโจแฮนสัน อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ การปล่อยฉาย Black Widow บน Disney+ ด้วยระบบ Premier Access ยังช่วยให้เธอได้ค่าตอบแทนเพิ่มเติมมากกว่าค่าตัว 20 ล้านเหรียญฯ ที่เธอได้รับไปแล้วสิ้น”
Black Widow เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมาด้วยรายได้ 80 ล้านเหรียญฯ ภายในประเทศในสัปดาห์แรก และกวาดรายได้ทั่วโลกไปได้อีก 78 ล้านเหรียญฯ ในสัปดาห์เปิดตัวเดียวกัน แล้วยังสามารถทำเงินไปได้อีก 60 ล้านเหรียญฯ จากการเข้าฉายทางช่อง Disney+ ซึ่งมีค่าบริการรับชมรอบเปิดตัวพิเศษ 30 เหรียญฯ
ที่มา : people.com