Move to Heaven เป็นผลงานออริจินัลซีรีส์จาก Netflix ที่นำเสนอเรื่องราวของ “ฮันกือรู” เด็กหนุ่มผู้มีอาการแอสเพอร์เกอร์ เขาทำงานเป็นพนักงานเก็บกวาดที่เกิดเหตุหลังความตายกับ “ฮันจองอู” ผู้เป็นพ่อทั้งยังเป็นเจ้าของบริษัทเก็บกวาดที่เกิดเหตุ “มูฟทูเฮฟเวน” (Move to Heaven) แต่แล้ว กือรู ก็ต้องเหลือตัวคนเดียวในโลกใบนี้ หลังการจากไปอย่างกะทันหันของพ่อทำให้ “โจซังกู” อาของเขาที่เพิ่งพ้นโทษจำคุกกลายมาเป็นผู้ปกครองและเป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งคู่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน นำแสดงโดย อีเจฮุน, ทังจุนซัง และ ฮงซึงฮี ภายใต้ฝีมือการกำกับของ คิมซองโฮ
Move to Heaven สะท้อนความหมายของการมีชีวิต ผ่านเรื่องราวทั้งสุขและเศร้า รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม และอุปสรรคต่าง ๆ นานาหลากหลายรูปแบบที่แต่ละชีวิตต้องเผชิญและดิ้นรนฝ่าฟัน แม้สุดท้ายปลายทางทุกชีวิตก็ต้องลงเอยด้วยความตายไม่ต่างกัน “แต่มันจะดีสักแค่ไหน ถ้ามีใครสักคนยินดีที่จะเก็บรักษากล่องความทรงจำบันทึกการมีอยู่ของเราเอาไว้ ไม่ทิ้งให้เราจากโลกใบนี้ไปอย่างไร้ร่องรอย”
แม้พล็อตเรื่องจะเรียบง่าย แต่ก็ลึกซึ้งกินใจทุกช่วงทุกตอน ซึ่งต้องขอชื่นชมและให้เครดิตคนเขียนบทที่ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรซ์มาก จากเดิมที่เห็นเรื่องย่อก็คิดว่าจะเป็นซีรีส์ที่มาแนวดราม่า จนอาจจะถึงขั้นน่าเบื่อ แต่หลังจากได้ดูก็พบว่ามันเกินคาดไปมากจริง ๆ ตลอดทั้ง 10 ตอน ซึ่งแต่ละตอนยาวเกือบ ๆ ชั่วโมง ไม่มีช่วงไหนที่ทำให้รู้สึกเบื่อเลย แม้บางช่วงบางตอนอาจจะไม่ได้ซึ้งกินใจถึงขั้นน้ำตาริน แต่ตลอดทางก็มีแง่มุมน่าดึงดูดชวนให้ติดตาม ทั้งยังสอดแทรกอารมณ์ขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้ชมได้ผ่อนคลาย และสนุกไปกับเรื่องราวได้แบบ Non-Stop อีกด้วย
นอกจากนี้ซีรีส์ยังเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นความรักความผูกพันระหว่างพ่อ-ลูก และคนในครอบครัว ความห่วงใยและหวังดีจากเพื่อนสนิท หรือแม้แต่มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมโลกที่คอยช่วยเหลือและปรารถนาดีต่อกัน ทั้งยังสอดแทรกแง่คิด และปัญหาสังคมต่าง ๆ ที่หลายชีวิตบนโลกนี้ต้องเผชิญให้เราได้ฉุกคิดอีกด้วย เช่น ปัญหาเรื่องของการถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบในที่ทำงาน ปัญหารักต้องห้ามระหว่างเพศเดียวกันที่ยังมีคนในสังคมอยู่อีกจำนวนมากไม่ยอมรับ ปัญหาคนชราที่ถูกทอดทิ้งเพียงลำพัง ปัญหาการคุกคามทางเพศและใช้ความรุนแรง และอื่นปัญหาสังคมอื่น ๆ อีกมากมายที่ควรได้รับการชำระล้างให้หมดสิ้นไปจากสังคมนี้สักที
ในส่วนของงานภาพก็ทำออกมาได้ดี ด้วยโทนที่ดูอบอุ่นเข้ากับเรื่องราว ขณะที่บางมุมภาพก็แสดงให้เห็นถึงประเทศเกาหลีในมุมมองที่แปลกตาออกไปจากซีรีส์เกาหลีส่วนใหญ่ที่มักจะโชว์ให้เห็นถึงความเป็นเมืองที่เจริญน่าอยู่ แต่นี่เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่เลือกจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริงของชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นล่างที่ยากจะลืมตาอ้าปากอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้ และนอกจากนี้ก็ยังมีการใส่ลูกเล่นถอดความคิดของ กือรู ออกมาเป็นภาพทำให้ผู้ชมผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวมากขึ้นอีกด้วย
แคสติ้งเหมาะสม ดีสมมงทุกตัวละคร ตั้งแต่นักแสดงหลักยันนักแสดงสมทบ โดยเฉพาะ ทังจุนซัง ผู้รับบท “ฮันกือรู” ส่วนตัวคิดว่านี่เป็นบทที่สุ่มเสี่ยงมากเพราะถ้าแสดงได้ไม่ดีก็จะดูน่ารำคาญ ขัดใจ แล้วก็น่าจะส่งผลให้ซีรีส์ทั้งเรื่องดูน่าเบื่อไปได้เลย แต่ ทังจุนซัง สามารถถ่ายทอดความเป็น “ฮันกือรู” ออกมาได้อย่างน่ารัก น่าเอ็นดู แล้วก็ทำให้เรารู้สึกว่าเขาคือ “ฮันกือรู” จริง ๆ ไม่รู้สึกอึดอัด หรือยัดเยียดความเป็นเด็กพิเศษลงไปในตัวละครมากจนเกินไปทั้งสายตาและท่าทาง และเขายังทำให้ตัวละครนี้ดูมีอะไรน่าติดตามมากกว่าสิ่งที่แสดงออกมาอีกด้วย เชื่อว่านี่น่าจะเป็นผลงานแจ้งเกิดของ ทังจุนซัง ในวงการนักแสดงเกาหลีอย่างเต็มตัวเลยก็ได้
ขณะที่ อีเจฮุน ก็ถ่ายทอดบทบาท “โจซังกู” คุณอาสายสกปรก หยาบกระด้าง และเย็นชาของ “ฮันกือรู” ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเป็นคนที่อบอุ่น และอ่อนโยนมากขึ้น ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่ง “โจซังกู” เป็นอีกหนึ่งตัวละครน่าสนใจ และน่าจะคล้ายคลึงกับชีวิตจริงของใครหลาย ๆ คน ที่ปากไม่ตรงกับใจ สร้างเกราะป้องกันให้ตัวเองดูเป็นคนแข็งแกร่ง ไม่แยแสใคร จนโลกมองว่าเป็น “ตัวร้าย” แต่แท้จริงแล้วลึก ๆ ในใจเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่กลัวความเจ็บปวด และต้องการความรักความอบอุ่นก็เท่านั้น
ส่วนสาวน้อย ฮงซึงฮี ผู้รับบท “ยุนนามู” ก็เข้ามาช่วยเติมสีสัน และความสดใส ท่ามกลางเรื่องราวชีวิตที่ต้องเผชิญกับความเลวร้ายบนโลกใบนี้ ได้เป็นอย่างดี แม้ดูเผิน ๆ ตัวละครของเธออาจจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรมาก แต่บอกเลยว่าเธอคือหนึ่งในสีสันที่ขาดไม่ได้ของซีรีส์เรื่องนี้เลยทีเดียว
โดยสรุปแล้ว Move to Heaven คือซีรีส์น้ำดีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่อยากให้คุณพลาด นอกจากจะได้เสพความบันเทิงจากเรื่องราวที่คุ้นเคยในโลกของความเป็นจริง ผ่านการแสดงอันยอดเยี่ยมของเหล่านักแสดงมากฝีมือแล้ว คุณจะได้แง่คิดดี ๆ กลับมาเตือนสติ และย้อนทบทวนตัวเองให้ใช้ทุกช่วงเวลาที่ยังมีลมหายใจอย่างดีที่สุดเพื่อตัวเองและคนที่คุณรักอีกด้วย รับประกันเลยว่าจะเป็น 10 ชั่วโมงที่คุ้มค่ากับการสละเวลามาดูอย่างแน่นอน ให้ 9.5/10