หลังจากซีรีส์ Vincenzo ปิดฉากลงไปอย่างน่าประทับใจ ซงจุงกิ (Song Joong-Ki) หนึ่งในนักแสดงนำของเรื่องก็มีโอกาสได้ให้สัมภาษณ์แชร์ความเห็น และประสบการณ์ในระหว่างถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ พร้อมเผยถึงแผนต่อไปในอนาคต
“อันดับแรก ผมอยากจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกกดดันกับบทบาทของผม มันไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกถึงภาระอะไรหรอกนะครับ แต่เพราะผมต้องถ่ายทำหลาย ๆ ตอนร่วมกับคนในกึมกาพลาซ่า ผมก็เลยรู้สึกผูกพันกับเหล่านักแสดงที่มาเล่นเป็นผู้เช่าในกึมกาพลาซ่า และก็ไม่รู้สึกเหงาหรือกดดันเลยครับ เอาแบบสั้น ๆ ผมพูดได้เลยว่า ‘เราทุกคนสนุกไปด้วยกันครับ’” ซงจุงกิ กล่าว
เมื่อพูดถึงความนิยมของซีรีส์เรื่องนี้ ซงจุงกิ ก็แสดงความเห็นว่า “ทุกครั้งที่ออกอากาศแต่ละตอน ผมจะได้ยินทีมงานในบริษัท หรือไม่ก็ทีมงานเด็ก ๆ ในกองถ่ายมาบอกเราทันทีเลยว่ามีฉากไหนบ้างที่ถูกพูดถึงบนโลกออนไลน์ ดังนั้นผมจึงรู้สึกได้ถึงความนิยมของซีรีส์เรื่องนี้ครับ”
ซงจุงกิ ยังพูดถึงกระแสวิจารณ์ของผู้ชมที่บอกว่าคนร้ายในซีรีส์ถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยมเกินไปอีกว่า “หลายคนมีความเห็นแตกต่างกันว่ามันรุนแรงเกินไปหรือไม่ แม้แต่ในตอนที่ถ่ายทำกันก็ด้วย ผมคิดว่า ‘ผู้ชมก็คงจะมีความเห็นที่หลากหลายผสมกัน’ แต่สำหรับตัวผม ผมไม่คิดว่ามันโหดร้ายนะครับ ในทางตรงกันข้ามผมกลับคิดว่าเราจำเป็นต้องรุนแรงกับคนพวกนั้น ผมคิดว่าคนชั่วแบบพวกเขาควรจะถูกลงโทษด้วยวิธีแบบนั้นครับ ผมว่าพวกตัวละครที่ทำสิ่งชั่วร้ายต่างก็ได้รับการลงโทษอย่างชอบธรรมสำหรับสิ่งที่พวกเขาเป็นแล้วล่ะครับ”
ซงจุงกิ พูดถึงฉากแอ็คชั่นของเขาในซีรีส์เรื่องนี้ และเผยว่าเขาไม่ได้มีช่วงเวลาที่ยากลำบากอะไรกับฉากเหล่านั้น พร้อมอธิบายว่าผู้กำกับศิลปะการต่อสู้ ฮอมยองฮึง (Heo Myung-Haeng) ได้สร้างสรรค์ฉากเหล่านั้นขึ้นมาโดยเน้นเรื่องของการเคลื่อนไหวให้น้อย แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกให้มากขึ้น “ปกติแล้วเราจะถ่ายฉากพูดกับฉากแอ็คชั่นแยกกัน แต่ผมคิดว่ามันเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นมันจึงไม่ยากครับ”
ซงจุงกิ ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ ๆ ใน Vincenzo ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแง่มุมที่ตลกขบขันของซีรีส์เรื่องนี้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือภาษาอิตาลี “ผมไม่แน่ใจว่าการแสดงของผมในฉากตลก ๆ จะได้เสียงตอบรับในแง่ที่ดีหรือไม่ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยพอใจกับการพูดภาษาอิตาลีของผม รวมถึงฉากตลก ๆ ของผมด้วย แม้แต่ในการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ มันก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าการแสดงแนวคอมเมดี้คือประเภทของการแสดงที่ยากที่สุด ผมว่าผมทำได้ไม่ดีเลยในด้านนี้ ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกไม่ค่อยพอใจครับ” ซงจุงกิ เผย ทั้งยังบอกอีกว่านักแสดงที่มาเล่นเป็นผู้เช่ากึมกาพลาซ่าต่างก็เชี่ยวชาญแนวคอมเมดี้ และเพื่อน ๆ นักแสดงเหล่านั้นก็ช่วยเขาได้มากเลย
สำหรับการแสดงด้วยภาษาอิตาลี ซงจุงกิ เผยว่า “ผมคิดว่ามันน่าจะดีกว่านี้ ถ้าผมได้ฝึกฝนมานานกว่านี้ ผมเชื่อว่าการแสดงด้วยภาษาต่างประเทศมันจะดีขึ้นถ้าคุณได้ใช้เวลากับมันมากขึ้น ดังนั้นส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ครับ ผมยังคงฝึกซ้อมและท่องจำกับครูสอนภาษาอิตาลีของผมอยู่เรื่อย ๆ ครับ และผมก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อออกเสียงออกมาให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ ตอนแรก วินเชนโซ่ เป็นตัวละครที่มาจากอิตาลีตอนใต้ มันยากมากเลยครับที่จะออกเสียงให้ถูกต้อง เราจึงเปลี่ยนเขาเป็นตัวละครที่มาจากอิตาลีตอนกลาง ผมให้ความสำคัญกับรายละเอียดเหล่านั้นครับ”
เมื่อถูกขอให้เลือกนักแสดงและตัวละครที่มีเคมีเข้ากันที่สุด ซงจุงกิ ก็เลือกได้ง่าย ๆ เลยว่าเป็น จอนยอบิน (Jeon Yeo-Bin) ผู้รับบท ฮงชายอง พร้อมอธิบายเหตุผลว่า “คุณอาจจะคิดว่าผมจะไม่เลือกใครเพราะอาจจะทำให้ใครรู้สึกไม่พอใจได้ เนื่องจาก วินเชนโซ่ ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครมากมาย แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามแต่ ผมขอเลือก ฮงชายอง ของ จอนยอบิน ครับ ตัวละคร ฮงชายอง เป็นตัวละครที่น่ารักมาก จนช่วยไม่ได้หากจะทำให้นักแสดงคนอื่นต้องผิดหวัง โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเธอเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มาก ๆ ครับ และผมก็เริ่มผูกพันกับเธอมากขึ้นขณะที่เราแสดงด้วยกัน ทั้ง จอนยอบิน และตัวละคร ฮงชายอง ต่างก็ทำให้ผมรู้สึกชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยครับ”
ซงจุงกิ รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาผ่าน Vincenzo แม้ว่าในตอนแรกเขาจะไม่ค่อยมั่นใจกับการแสดงแนวคอมเมดี้ แต่ในที่สุดเขาก็เอาชนะมันได้ “สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความคิดของผมแตกเป็นเสี่ยง ๆ ‘ผมจะทำอะไรถ้าผมไม่รับเล่นซีรีส์เรื่องนี้?’ คือความคิดหลาย ๆ อย่างของผมมันเปลี่ยนไปมากเลยล่ะครับ”
ผู้ชมหลายคนคิดว่า วินเชนโซ่ จะเป็นบทบาทในความทรงจำสำหรับ ซงจุงกิ ไปชั่วชีวิต ซึ่งเจ้าตัวเองก็เห็นด้วย “เป็นเรื่องจริงครับที่ผมรู้สึกสนุกขณะแสดงที่สุด ผมคงจะพูดได้ว่ามันคือบทบาทในความทรงจำชั่วชีวิตครับ” ซงจุงกิ กล่าว พร้อมเสริมถึงคอนเซ็ปของมาเฟียว่า “มันอาจจะดูเหมือนการอวดเบ่งวางก้าม และบางคนก็อาจจะสงสัยว่าเราใช้คอนเซ็ปมาเฟียเพราะมันไม่มีคอนเซ็ปอื่นเหลือแล้วหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะครับ”
ซงจุงกิ เผยว่าเขารู้สึกประหลาดใจตอนที่ได้อ่านสิ่งที่นักเขียน พัคแจบอม (Park Jae-Bum) เขียนลงไปในเรื่องย่อเพื่อที่จะอธิบายเจตนารมณ์เบื้องหลังของซีรีส์เรื่องนี้ “ผมรู้สึกได้ทันทีถึงความโกรธที่มีต่อสังคมที่อัดอั้นเอาไว้ของเขา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงเข้าใจว่าทำไมถึงควรหยิบเอาไอเดียในการเป็นมาเฟียมาใช้ และผมก็คิดว่ามันเป็นคอนเซ็ปที่มีเสน่ห์มาก ๆ เลยครับ”
วินเชนโซ่ เป็นแอนตี้ฮีโร่ ผู้ใช้วิธีการของคนชั่ว เพื่อเอาชนะคนที่ชั่วยิ่งกว่า ซึ่ง ซงจุงกิ ได้เผยถึงความเศร้าใจของเขาต่อความจริงที่ว่าวายร้ายอย่าง วินเชนโซ่ ได้รับความรักจากผู้ชมอย่างล้นหลาม “ตอนที่ผมได้บทมา ผมรู้มาว่าผลงานของ พัคแจบอม ส่วนใหญ่จะมีภาพลักษณ์ในแนวคอมเมดี้ แต่ผมคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้มันคือแนวของความโศกเศร้า เหตุผลก็เพราะผู้ชมต่างก็เอาใจช่วยวายร้ายอย่าง วินเชนโซ่”
“ผมคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีรีส์ Vincenzo มันใกล้เคียงกับชีวิตจริง ขณะที่ตัวละคร วินเชนโซ่ เป็นเพียงส่วนเดียวที่เหมือนจินตนาการ ในชีวิตจริงมีคนชั่วอยู่มากมาย คุณนักเขียนใช้คนมากมายเหล่านั้นเป็นข้อมูลอ้างอิง ดังนั้นมันก็เลยมีฉากระบายอารมณ์มากมายครับ” ซงจุงกิ เสริม
นอกจากนี้ ซงจุงกิ ยังพูดถึงฉากจบในตอน 16 ที่ วินเชนโซ่ ไปหาตัวร้ายทั้ง 4 คน ด้วยว่า “เราซ้อมกัน แล้วตัวละครทั้งสอง ชเวมยองฮี (คิมยอจิน) และ จางฮันซอก (แทคยอน 2PM) ก็คุกเข่าต่อหน้าผมตอนที่ผมเดินเข้าไป นั่นมันทำให้รู้สึกได้ถึงการระบายอารมณ์อย่างน่าประหลาดเลยล่ะครับ”
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของซีรีส์ซีซั่น 2 ซงจุงกิ ก็บอกว่า “ยังไม่ได้มีการหารือกันเกี่ยวกับซีซั่น 2 เลยครับ ผมต้องขอบคุณที่ดูเหมือนว่าจะมีผู้ชมจำนวนมากต้องการมัน มันไม่น่าจะมีการหารือกันภายในเกี่ยวกับซีซั่น 2 ในอนาคตนะครับ”
นอกจากนี้ ซงจุงกิ ยังเผยถึงแผนในอนาคตของเขาด้วยว่า “ผมยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกโปรเจกต์ต่อไปของผมเลยครับ ภาพยนตร์ Bogota ที่ชะงักไปเพราะโควิดดูเหมือนจะได้เริ่มกลับมาถ่ายทำที่เกาหลีในเดือนนี้ เนื่องจากผมไม่สามารถเดินทางไปโคลอมเบียได้ ผมได้ข่าวว่าพวกเขาจะทำมันโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทีมโปรดิวเซอร์และนักลงทุนต่างก็รู้สึกหมดหวังหลังจากที่มันต้องหยุดไปชั่วคราวในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ผมจะทำมันให้เสร็จให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ในฐานะนักแสดงนำครับ”
“ผมจะไปร่วมงานประกาศผลรางวัล Baeksang Arts Awards ผมขอบคุณที่ผมได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง และผมจะไปร่วมสนุกในงานครับ แต่ผมให้ความสำคัญกับการเข้าชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของผู้กำกับ คิมวอนฮี จาก Vincenzo มากกว่าครับ” ซงจุงกิ กล่าวปิดท้าย