นิตยสาร Vogue ปล่อยภาพแฟชั่นเซ็ตชุดใหม่ พร้อมบทสัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟของซูเปอร์สตาร์หนุ่ม คิมซูฮยอน (Kim Soo-Hyun) ออกมาให้แฟน ๆ ได้ดูได้อ่านกันแล้ว!
ส่วนหนึ่งในบทสัมภาษณ์ คิมซูฮยอน ได้เล่าถึงชีวิตในวงการบันเทิงที่อยู่มานานกว่า 10 ปีให้ฟังว่า “ผมก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงครั้งแรกเมื่อปี 2007 และรู้ตัวอีกที่ผมก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าให้ผมลองมองย้อนกลับไป มันก็มีอยู่หลายช่วงเวลาที่มันดีเกินคาด แต่มันก็มีอีกหลายช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเสียใจ รู้สึกอยากจะหนีไป และรู้สึกได้ว่ามีอะไรขาดหายไป ผมก็ไม่สามารถตัดสินได้หรอกครับว่าผมถูกหรือผิดเวลาที่ผมมองย้อนกลับไปในอดีต แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าผมควรจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้นหรอกนะครับ เวลามันจะผ่านไป และไม่ว่ามันจะเป็นเกียรติหรือเป็นบาดแผล ทั้งสองสิ่งนั้นมันก็จะทิ้งร่องรอยต่าง ๆ เอาไว้ ผมก็ยังคงวิ่งตามความฝันต่อไป ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าผมจะสามารถทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงไปได้อีกนานแค่ไหน แต่ผมก็จะอดทนกับความรู้สึกต่าง ๆ ที่มันรายล้อมอยู่รอบตัวผมในตอนนี้ต่อไป”
“ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะจมดิ่งอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือรู้สึกหมดหวัง แต่มันก็มีบางครั้งที่มอยากจะพัก โชคดีที่ความรู้สึกนั้นมันเกิดขึ้นในช่วงที่ผมต้องเกณฑ์ทหาร ผมเลยได้พบทั้งคำถามและคำตอบในเวลาเดียวกัน ผมได้ทำหนังเรื่องหนึ่งในระหว่างนั้น แต่มันไม่ใช่ทุกคนที่จะไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ ดังนั้นครั้งสุดท้ายที่ผู้ชมจะได้เห็นผมง่าย ๆ ในตอนนั้นก็คือซีรีส์ The Producers เมื่อปี 2015 ผมเข้ากรมไป 2 ปี และมันก็ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะเลือกสักโปรเจกต์และทำให้เสร็จเร็วขนาดไหน เพราะปี 2020 ก็เป็นช่วงเวลาที่เร็วที่สุดที่ผู้ชมจะได้เห็นผมอีกครั้งอยู่ดี ผมก็สงสัยนะว่าผมจะสามารถเติมเต็มช่องว่างในช่วงเวลา 5 ปีนั้นได้หรือไม่ มันไม่ใช่ว่าผมกลัวที่จะหายไปจากความทรงจำของผู้ชมหรอกนะครับ แต่มันเป็นความรู้สึกกดดันที่จะต้องโชว์ให้เห็นถึงด้านใหม่ ๆ ของผมขณะที่ก็ยังต้องคงความคุ้นเคยเอาไว้ด้วย และด้วยความที่มันมีแพลตฟอร์มดิจิตอลต่าง ๆ เกิดขึ้นมามากมาย ตัวเลือกของผู้ชมมันก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย ดังนั้นผมจึงไม่สามารถที่จะอยู่ในจุดใดเพียงจุดเดียวได้ครับ” คิมซูฮยอน เสริม
คิมซูฮยอน ยังบอกอีกว่าค่านิยมของเขาเปลี่ยนไปหลังจากรับราชการทหาร “ผมเลิกรู้สึกโลภแล้วล่ะครับ ก่อนหน้านั้นผมรู้สึกว่าผมมีความรับผิดชอบที่จะต้องทำทุกอย่างให้มันสำเร็จแม่นยำ และผมก็มีความรู้สึกโลภที่จะต้องทำให้ตัวเองโดดเด่นขึ้นมาด้วยการแสดงในแต่ละฉากของผม แต่หลังจากที่ปลดประจำการออกมาผมก็ได้เรียนรู้วิธีที่จะทำให้มันลงตัวกับภาพรวมทั้งหมด องค์ประกอบแวดล้อมของการออกอากาศมันคือการที่คนเพียงคนเดียวไม่สามารถเติมเต็มพื้นที่ทั้งหมดได้ มันจะเป็นอย่างนั้นก็ต่อเมื่อคุณยอมรับในตัวคนอื่น แล้วก็ผสมผสานให้เข้ากัน ซึ่งนั่นจะทำให้ทั้งตัวคุณและพาร์ตเนอร์ของคุณเปล่งประกายขึ้นมาได้ แล้วผมก็ยังกำจัดพวกความคิดในแง่ลบออกไปเยอะเลยด้วย นอกเหนือจากงานแล้วผมก็มักจะเข้าหาสิ่งต่าง ๆ ด้วยทัศนคติในแง่ลบ ผมเป็นพวกคิดมาก แต่ตอนนี้ผมยอมรับหลาย ๆ สิ่งอย่างที่พวกมันเป็นแล้ว ถ้าผมสามารถทำได้ ผมก็พยายามจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่อย่างน้อยที่สุดเลยผมต้องพยายามไม่ขุดลึกมันลงไปมากจนเกินไป เพราะถ้าผมพยายามมากเกินไปเพื่อที่จะทำบางสิ่งให้สมบูรณ์แบบ ผมก็จะติดอยู่ในร่องนั้นแล้วก็สูญเสียบางสิ่งไปอีก จากนั้นผมก็จะเสียใจมากขึ้น และสุดท้ายมันก็จะกลายเป็นพิษต่อความพยายามทั้งหมดของผมในการที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ”
คิมซูฮยอน เผยว่าค่านิยมที่เปลี่ยนไปของเขาได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านซีรีส์ It’s Okay to Not Be Okay ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกของเขาหลังจากปลกประจำการ “ต่างจากงานก่อน ๆ ของผม ซีรีส์ It’s Okay to Not Be Okay คือผลงานที่ผมเข้าไปหาด้วยทัศนคติที่สบาย ๆ จริง ๆ ผมเคยคิดว่าผมน่าจะรู้สึกกดดันกับมันมากขึ้นเนื่องจากมันเป็นผลงานคัมแบ็คของผม แต่ผมกลับรู้สึกชิลล์กับมันมากกว่าผลงานเรื่องไหน ๆ ที่ผมเคยทำมาซะอีก ในอดีตผมจะคิดว่า ‘ผมต้องโดดเด่น ผมต้องทำให้มันมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้ตัวละครของผมโดดเด่นขึ้นมา ผมต้องประสบความสำเร็จด้วยการแสดงของผม’ แต่กับ It’s Okay to Not Be Okay ผมถอยออกมาแล้วก็ก้าวเข้าไปหามันด้วยอารมณ์ที่ไตร่ตรองมามากขึ้น ผมไม่จำเป็นต้องดราม่าหรือใช้พลังอะไรมากมาย ในการแข่งขันที่เต็มไปด้วยมืออาชีพ การพยายามที่จะโดดเด่นขึ้นมามันก็แค่ทำให้ตัวคุณดูเหมือนมือสมัครเล่นมากขึ้นเท่านั้นแหละครับ ถ้าคุณโฟกัสไปที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว คุณก็จะรู้สึกโดดเดี่ยวในระหว่างการแข่งขัน ดังนั้นมันคงจะดีกว่าที่จะจบการแข่งขันด้วยทุก ๆ ย่างก้าวของคุณเอง ผมเข้าหาซีรีส์เรื่องนี้ด้วยทัศนคตินั้น และมันก็ออกมาดีครับ”
เมื่อช่วงต้นปี คิมซูฮยอน เพิ่งจะตกลงรับเล่นซีรีส์ One Ordinay Day ที่รีเมคมาจาก Criminal Justice ต้นฉบับของอังกฤษ และเรื่องนี้เขาจะได้มาประกบท็อปสตาร์รุ่นพี่ ชาซึงวอน (Cha Seung-Won) ด้วย ซึ่ง คิมซูฮยอน ได้แย้มถึงผลงานชิ้นใหม่นี้ให้ฟังเล็กน้อยว่า “Criminal Justice เป็นซีรีส์ของอังกฤษเมื่อปี 2008 เวอร์ชั่นต้นฉบับมันมี 5 ตอน ดังนั้นเส้นเรื่องจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และคุณก็ได้ดื่มด่ำกับตัวละครต่าง ๆ ที่เร็วกว่ามาก ส่วนเวอร์ชั่นอเมริกันมีทั้งหมด 8 ตอน ดังนั้นจึงมีรายละเอียดและการขยายเรื่องราวมากขึ้น ซึ่งทั้ง 2 เวอร์ชั่นต่างก็มีข้อดีของมัน สำหรับเวอร์ชั่นเกาหลีตอนนี้มีแผนจะทำออกมา 8 ตอน แต่ยังไม่ได้กำหนดเวลาหรือวิธีการออกอากาศ ผมก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเกี่ยวกับเวอร์ชั่นดั้งเดิมนะครับ แม้ว่าผมพยายามที่จะแสดงออกมาด้วยวิธีเดียวกัน แต่มันก็คงจะไม่ได้ออกมาเหมือนเดิมไปซะทั้งหมดหรอกครับ นักแสดงต่างกัน แล้วภาษา รวมถึงวิสัยทัศน์ของผู้กำกับก็ต่างกันด้วย ผมดูเวอร์ชั่นอังกฤษก่อน และความคิดแรกที่ผมมีก็คือ ‘มันไร้ที่ติ’ ตั้งแต่ผลงานของ เบน วิสชอว์ ผู้เป็นนักแสดงนำ ไปจนถึงเพลงประกอบ มุมกล้อง สไตล์ รวมถึงมู้ดแอนด์โทนในภาพรวมทั้งหมด ทุกอย่างมันน่าดึงดูดสำหรับผม ส่วนใหญ่ซีรีส์แนวนี้จะโฟกัสไปที่การค้นหาอาชญากรที่แท้จริง แต่ซีรีส์เรื่องนี้มันจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักกับคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา มันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชายหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่งต้องมาตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และวิธีการที่คนรอบ ๆ ตัวของเขาตีความเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น”