ด้วยกระแสตอบรับอันดีจากภาพยนตร์ ตีสาม 3D ที่ได้รับจากทั่วโลก โดยเฉพาะตอน O.T. ที่ทำให้ผู้ชมร่วมลุ้นไปกับตัวละคร และเป็นที่กล่าวขวัญถึงสไตล์การหักมุมอย่างเหนือชั้น เกินคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง อิสรา นาดี ได้หยิบเอาตอน “O.T ” มาทำเป็นภาพยนตร์ยาวเต็มรูปแบบในภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องว่า O.T. ผี Overtime ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ภาพยนตร์ระทึกขวัญ มีสไตล์การหักมุมแบบเหนือชั้น ที่จะทำให้ยากต่อการคาดเดาเรื่องราว
ทำไมถึงเอาตอน O.T. มาทำต่อเป็นภาพยนตร์ยาวเต็มเรื่อง..
จริงๆแล้วเนี่ยตอนทำโอทีตอนแรกอะ ตอนทำเรื่องทั้งหมดเลยผมก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ทำภาคต่อแต่ตอนนั้นคิดอย่างนึงว่าอยากจะทำ เหมือนตอนนั้นกำลังงมหาทางของตัวเองคือการทำงานศิลปะมันคงต้องมีลายเซ็น ต้องมีสไตล์ เราก็พยายามหาทางของเราที่เราจะชอบ ที่เราจะถนัดกับมันที่สุด แต่ด้วยเงื่อนไขว่าตอนนั้นมันเป็นตีสาม ฉะนั้นมันต้องเป็นหนังผี เป็นภาพยนตร์สยองขวัญด้วย ผมก็เลยกลับมามองว่า สองเรื่องแรกเขาก็มีแนวทางชัดเจน เรื่องนึงก็จะหลอนๆ อีกเรื่องนึงก็จะโหดๆ ก็คือตอนเรือนหอคนตาย กับเกศสยอง ผมก็เลยรู้สึกว่าแล้วเราล่ะจะเป็นอะไร คือสองเรื่องเขาผุดขึ้นมาก่อนแล้ว มันก็เลยผนวกกับว่าในตัวผมเอง เป็นคนชอบหัวเราะ ถ้าพูดง่ายๆก็เป็นคนกวนตีนนี่แหละ(หัวเราะ) ก็เลยพยายามหาตัวตนลงไปในงาน ก็เลยลองดีไซน์หนังผีแบบO.T. ขึ้นมา ก็เลยเป็นโอทีแบบที่ได้เห็นๆกัน
โอทีภาคนี้มีความแตกต่างอย่างไรกับภาคที่แล้วบ้าง..
ความแตกต่างกันระหว่างโอทีภาคนี้กับภาคที่แล้วเนี่ย คือหนังเรื่องนี้เป็นหนังภาคต่อ เราทำให้เรื่องราวมันต่อเนื่องกัน โดยตัวบทของภาคแรกเนี่ยมันช่วงเวลาแค่เที่ยงคืนถึงตีสาม เราก็เลยรู้สึกว่ามันมีช่องโหว่เยอะ พอจะขยายเป็นหนังเต็มเนี่ยก็เหมือนจะมีอะไรให้เล่นได้มากขึ้น สำหรับภาคนี้เราก็เลย ไปคิดว่าบริษัทจริงๆมันไม่มีคนแค่นั้นนะ ช่วงนั้นมันมีอยู่ คือตัวละครบั๊มและงิ้งเอง แล้วหุ้นส่วนบริษัทก็ไม่ได้มีแค่สองคนนี้นะ มันก็มีอีกคนได้นี่ ภาคนี้ก็เลยมีตัวละครเพิ่มมากขึ้นหลายคนเลยละ มีสีสันเพิ่มมามากขึ้น มีทั้งตัวพนักงานบริษัทเอง หุ้นส่วนคนใหม่ คือ บดินทร์ที่โผล่ขึ้นมา แล้วก็จะมีเทคนิคการหลอก ที่เราดีไซน์กันขึ้น ด้วยภาคนี้เราไม่ได้ทำเป็น3D ฉะนั้นข้อจำกัดมันจึงไม่ค่อยมากเท่าไหร่ในเรื่องของอุปกรณ์ ก็เลยดีไซน์อะไรได้มากขึ้น ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น
คำจำกัดความของหนังโอที มีที่มายังไง ทำไมต้องเป็นคำว่าโอที
ถ้าที่เรารู้จักกันทั่วไป โอทีเนี่ยมันคือการ ทำงานนอกเวลา ทำงานล่วงเวลา พอคำว่าทำงานล่วงเวลาปุ๊บ เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ทำทุกคน มันมีกลุ่มคนน้อยๆ แล้วการทำงานล่วงเวลามันไม่ได้ทำกลางวัน มันทำตอนกลางคืน ดึกๆ มันก็เลยพอดึกแล้วมันมีอะไรอะ มันก็ต้องมีผีดิ!! มีความมืดปุ๊บ มันก็ต้องมีผี แล้วคุณทำงานอยู่คนเดียวเนี่ย มันก็เลยชวนให้เกิดเรื่องเกิด O.T. ผี OVERTIME ขึ้น
การนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้
<อย่างเรื่องนี้เราก็มีโอกาสได้ใช้ โดรน โดรนเหมือน ฮ.ช็อต คอปเตอร์ช็อต คือผมก็รู้สึกขอบคุณเทคโนโลยีนะ คือไอ้ภาพมุมสูงแบบนี้ เมื่อสมัยก่อนนะถ้าไม่ใช้เฮลิคอปเตอร์ ก็ต้องใช้เครื่องบิน ในการถ่ายทำภาพมุมสูงแบบนี้ ซึ่งก็ต้องใช้งบมาก เพราะจะมีค่าเครื่อง ค่าน้ำมัน ค่านักบิน ซึ่งที่จะใช้แบบนี้ได้ต้องเป็นหนังฟอร์มยักษ์จริงๆ ถึงจะได้ มุมภาพแบบนี้ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ทำให้มีโดรนตัวนี้เข้ามา ทำให้เราได้ลองนำมาใช้ ทีแรกผมคิดว่ามันจะสั่นมากกว่านี้ ซึ่งมัน
ทำให้ผมแปลกใจ คือมันนิ่งมากๆ ถ้านิ่งได้อีกนิดนึงจะเท่าเครนอยู่แล้ว แล้วช็อตที่เราใช้ก็ทำให้ดูเป็นหนังฟอร์มยักษ์มากๆ เราจะเคยเห็นในหนังต่างประเทศ ที่เป็นภาพจากมุมสูง แล้วเห็นคนวิ่งตัวเล็กๆบนพื้นแล้วค่อยๆ เข้ามาจนแทบจะเห็นหน้าคนๆนั้น ประมาณนี้ครับ ทำให้ตอบโจทย์ความสมบูรณ์ของภาพในหนังเรามากๆ
ถ้าเอ่ยถึงคำว่าโอที จะนึกถึงอะไรเป็นอันดับแรก..
นึกถึงการทำงานล่วงเวลา และได้เงินพิเศษ
ถ้าให้เลือก เลือกที่จะกลัวผีหรือกลัวแผน..
เลือกกลัวแผน เพราะเราไม่รู้ว่าผีมีจริงไหม แต่ถ้าแผนอ่ะมีแน่ๆ อย่างที่ผมบอกอะ มนุษย์มันควบคุมไม่ได้ เราไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า จะมาแบบไหน ในฐานะที่ผมก็เป็นคนชอบแกล้งคนเหมือนกัน ต้องขอย้อนกลับไปตั้งแต่โอทีภาคแรก มีคนตั้งคำถามว่า “โอ๊ย.. มันไม่มีจริงหรอก ใครจะมาวางแผนแกล้งกันขนาดนี้” แต่ผมอยากจะบอกว่าจริง มันมีจริงๆ พวกผมนี่แหละเคยทำมาตั้งแต่สมัยตอนเรียน พวกผมเคยลงทุนหล่อปลาช่อน คือแบบจริงจังมาก ตั้งใจทำให้มันเหมือนปลาช่อนจริงๆ เผื่อเอาไปไว้ในถังใส่ไอศกรีมของโรงเรียน พวกผมก็ทำกันมาแล้ว ตัวผมเองยังเคยหลอกเพื่อนคนนึง จนมันเรียนจบแล้วมันยังเชื่อว่ายังงั้นอยู่เลย บางทีก็เคยอุปโลกน์คนๆหนึ่งขึ้นมา ให้เหมือนมันมีตัวตนตอนสมัยเรียน จนในกลุ่มก็เชื่อกันว่ามันมีตัวตน จนเดี๋ยวนี้เวลาเจอกัน มันยังคุยกันถึงไอ้คนนั้นอยู่เลย ทั้งที่จริงๆมันไม่เคยมีตัวตนเลยก็มี ผมถึงบอกว่าการหลอกกันเหมือนในหนังอ่ะ มันมี..
หนังเรื่องนี้จะให้อะไรกับคนดู..
ผมอยากจะบอกว่าเวลาเราทำอะไรไปเนี่ย มันมีผลกับคนๆหนึ่งเสมอ ไม่ว่าเราจะทำเพราะอยากเล่นสนุกหรือล้อเล่น ซึ่งเราไม่สามารถคอนโทรลได้หรอกว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง หนังเรื่องนี้ยังบอกว่า กรรมคือผลของการกระทำ ตัวละครทั้งหมดในเรื่องนี้มันมีผล หนังเรื่องนี้ทั้งสามคนก็ เหมือนมาแก้สิ่งที่ตัวเองทำ มา รับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำแล้วเขาก็ต้องได้รับสิ่งที่เขาทำเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่หนังเรื่องนี้จะบอก..
ความคิดเห็นที่ 1 จากคุณ Spermild 12 พ.ย. 2567 02:12 น.
สวัสดี! นอกจากความจริงที่ว่าฉันชอบดูหนัง ฉันยังผ่อนคลายเป็นครั้งคราวด้วยการเล่น Counter-Strike ฉันดูแพลตฟอร์ม กล่อง cs2 ด้วย - คุณสามารถเปิดเคสและรับสกินสำหรับอาวุธได้ที่นั่น มันเพิ่มองค์ประกอบของความตื่นเต้นและเป็นเพียงความสนุกสนานธรรมดา มีแฟน ๆ ของเคสและสกินอื่น ๆ ที่นี่บ้างไหม?