ข่าว > ข่าวหนังทั้งหมด > ข่าวหนัง

คุยกับ "เปิ้ล & เป้" 2 ผู้สร้างปรากฎการณ์ห้าวเป้งทะลุ 100 ล้าน กลับมาพร้อมกับ "ห้าวเป้งจ๋าอย่าแกงน้อง"

6 มี.ค. 2564 14:26 น. | เปิดอ่าน 1524 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

 

Q. อยากให้เล่าให้ฟังถึงที่มาของการกลับมาผลิตภาพยนตร์ร่วมกันอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโปรเจกต์ "ห้าวเป้งจ๋าอย่าแกงน้อง"

พี่เปิ้ล: สวัสดีครับ นาคร ศิลาชัยครับ

พี่เป้: สวัสดีครับ เป้ นฤบดีครับ

พี่เปิ้ล: สำหรับโปรเจกต์นี้เรากลับมาอีกครั้งหนึ่งกับการทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ในชื่อว่า "ห้าวเป้งจ๋า อย่าแกงน้อง" เริ่มต้นมาจากคุณเป้ก่อนเลย หลังจากที่เราห่างเหินจากการทำภาพยนตร์ร่วมกันมานานเกือบ 10 ปีละ แล้วล่าสุดคุณเป้เขาทำภาพยนตร์เรื่อง Low Season เป้เขาก็ชวนเรามาเล่นหนังหน่อย ซึ่งเราก็ไม่ได้เล่นหนังนานแล้ว เพราะว่าไม่มีเวลา เป้เขาก็บอกไม่ว่างไม่เป็นไรมานั่งคุยกัน แล้วไปคุยกันที่ไหนก็ที่เชียงใหม่ เราก็อะเทคิวว่าง ปรากฎว่าไปคุยกันจริงๆ เล่นหนังเป็นเรื่องรองเลย ก็ไปคุย ไปกิน ไปเล่น ไปอยู่ในบรรยากาศหนังที่เคยทำกันมาทั้งกับมาริโอ้ กับเป้เป็นสิบปีที่ไม่ได้เจอแบบนี้ปรากฎว่ามันสนุกดีนะ จบสุดท้ายก็เกิดเป็นหนังที่มีชื่อว่า Low Season ตอนนั้นก็กลับมาคิดถึงหนังละ เออกลับมาทำหนังอีกทีมันก็สนุกดี

มันเหมือนเป็นบรรยากาศในรอบสิบสองปีหลังจากที่ให้กำเนิดห้าวเป้งมา ซึ่งตอนนั้นห้าวเป้งก็คลอดมาครั้งแรกด้วยฝีมือของคุณเป้และพวกเราก็คลอดมาจนถึงวันนี้ครบ 12 ปีพอดี คือโปรเจกต์นี้มันเริ่มมาจากทางเจ้าของ BNK48 ติดต่อมาหาพี่เปิ้ลชวนพี่เปิ้ลไปเสริมประสบการณ์ให้น้องๆไอดอลรุ่นใหม่ แต่ไม่ใช่กลุ่ม BNK48 นะ เขาบอกตอนนี้มีอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจมากคือน้องสาวของ BNK48 นั่นคือ CGM48 ซึ่งเราเองก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะทำอะไรสนุกๆกัน เราก็บอกเขาไปเลยว่าถ้าให้เราทำเราขอเทรนน้องๆในสไตล์ของเรานะ ซึ่งเขาก็ไม่ติดอะไร เพียงแต่น้องๆกลุ่มนี้เขาเอาไปซุ่มเงียบอยู่ที่เชียงใหม่นะ เขาต้องการที่จะสร้างให้เป็นบุคลากรที่มีความสำคัญต่อจากวง BNK48 และต่อวงการเพลงไทยในอนาคต เราก็เลยคุยกับเป้เลย มองตากันสองคนแล้วแบบ เฮ้ย!ห้าวเป้งต้องกลับมาแล้วละ นี่คือจุดเริ่มต้นของเด็กชายห้าวเป้งที่ตอนนี้มีอายุ 12 ขวบพอดีและที่น่าสนใจยิ่งขึ้นคือพอเขามีอายุ 12 ขวบพอดี ความซนของเขาจะมากตามอายุเขารึเปล่า ต้องติดตาม

 

Q. ย้อนกลับไปที่ "ห้าวเป้ง" ในอดีตจนมาถึง "ห้าวเป้งจ๋าอย่าแกงน้อง" ในมุมของพี่ๆทั้งสองคนติดใจอะไรกับภาพยนตร์ในแนวแกงกันแกล้งกัน

พี่เปิ้ล: ในเรื่องของภาพยนตร์ประเภทแกงกันนี่นะ ในสมัยห้าวเป้งยังไม่มีคำว่าแกง ใช้คำว่าแกล้งกัน ตอนนั้นเป้กับพี่เปิ้ลเอง2คนก็เป็นคนที่เริ่มต้นเรื่องของห้าวเป้งมาตั้งแต่ต้น

พี่เป้: มันคือ...เวลาเราเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วน มันรู้สึกตื่นเต้น แล้วมันก็ได้เห็นความจริงของเขา จริงๆมันเป็นงานที่ทำยากนะ แต่มันรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ทำ คนเบื้องหลังเองก็สนุกในการที่จะไปทำ เพราะว่าอะดรีนาลีนมันจะหลั่งอยู่ตลอดเวลา มันเป็นสไตล์ของเราและเราก็เลยติดใจว่า เฮ้ยถ้าเราทำแบบนี้มันสนุก

พี่เปิ้ล: คือในสมัยเมื่อ 10 ปีก่อนการแกล้งคนส่วนมาก พอแกล้งไป คนรู้สึก คนดูสนุก คนเล่น คนแกล้งก็สนุก แต่ไอ้คนถูกแกล้งก็อาจไม่รู้สึกสนุกตอนแรก แต่พอเฉลยมาแล้ว เขาจะมีความรู้สึกว่า นี่แหละชีวิตกูต้องมีสีสันแบบนี้ นี่คือที่เกิดขึ้นเมื่อสมัย 12 ปีก่อน พอมาถึงวันนี้ปุ๊บมันก็เหมือนคนอยากจะดูความสดอยู่นะซึ่งภาพยนตร์แบบนี้ตอนนี้มันแทบจะไม่เหลือแล้ว อาจจะเพราะว่ามันมีประเด็นที่คนอาจจะชอบ หรือไม่ชอบ สมัยก่อนคนไม่ชอบเขาก็อาจไม่ชอบแล้วก็บ่นกับเพื่อนๆ หรือครอบครัวในบ้าน ไม่รู้จะไปบ่นกับใคร แต่สมัยนี้ พอไม่ชอบปุ๊บเขาก็สามารถบ่นออกสื่อของเขาเองได้ ก็เลยเป็นที่มาของคอมเมนท์ต่างๆ ซึ่งมันจะทำให้การแกล้งหรือการแกงกันต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยสัญชาตญาณของพวกเราที่เราทำเรื่องนี้มาทั้งชีวิต เรามีอะไรบางอย่างที่อยากจะบอกว่าเวลาเราแกล้งใคร ทำไมมันถึงมีผลบวกมากกว่าลบ คือเทคนิคเหล่านี้มันเป็นเทคนิคที่เรียนรู้กันยากอยู่นะว่าแกล้งกันแล้วทำไมพอเฉลยกันแล้วเขากลับดีใจวะ แต่กับบางคนแกล้งเขาไม่ต้องแรงหรอก แกล้งนิดเดียวแต่ทำไมถึงโกรธ โกรธแบบทั้งชาติ ไม่พูดด้วย 2 อย่างนี้มันอยู่บนเส้นขนานกันมาก เพราะฉะนั้นแกล้งยังไงให้เขารัก กับแกล้งยังไงให้เขาเกลียด มันเป็นเรื่องที่เราต้องศึกษา เพราะฉะนั้นเราเมื่อศึกษามาแล้วว่าเฮ้ยแกล้งยังไง พอเฉลยแล้วคนถึงรัก คนดูรู้สึกมีความสุขด้วยนั่นคือวิถีที่เราทำมาจนมาถึงห้าวเป้งจ๋าอย่าแกงน้อง

พี่เป้: มันมีคำบัญญัติอยู่คำหนึ่ง พี่เปิ้ลบอกกับทีมทุกคนเวลาที่จะไปทำอะไรเขา เราต้องรักเขาก่อน ซึ่งอันนี้มันเป็นจุดตั้งต้นนะ เกิดจากความรู้สึกที่ว่า ถ้าคุณไม่รักเขา คุณทำแบบนี้ คุณรักเขาจริงเปล่า สมมุตถ้าทำแบบนี้เขาจะรู้สึกอย่างไร เพราะฉะนั้นการแกงของเรามาจากความรักที่เรามีให้เขา

พี่เปิ้ล: อันนี้สำคัญมากเลย คือคนเราแกล้งเพราะเกลียด หรือแกล้งเพราะรัก แค่นั้นเอง ผลมันออกมา ต่างกันมหาศาล

 

Q. ห้าวเป้งกลับมาครั้งนี้มาพร้อมกับโจทย์ที่วางไว้อย่างไรบ้างสำหรับการแกงน้องๆ

พี่เปิ้ล: การกลับมาครั้งนี้มันไม่ได้ง่ายเลย 12 ปีที่เราแกงกันกับเพื่อนๆในวงการบันเทิง เพราะว่าเราค่อนข้างสนิทกับทุกๆคนที่เราจะแกล้งนะ ไม่ว่าจะเป็น มาริโอ้ เมาเร่อ, พี่เบิร์ด ธงไชย, พี่หม่ำ, พี่แอ๊ด คาราบาว พี่ๆทั้งหลายสุดยอดของเมืองไทย มาจนทุกคนในวงการ แต่ก่อนมันง่ายเพราะว่าเราสนิทกับพี่น้องทุกคน แต่มาวันนี้โจทย์ของห้าวเป้งอายุ12ขวบเนี่ยะ มันเป็นการเสริมสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับน้องๆในวิถีของห้าวเป้ง

พี่เป้: มันเป็นเทคนิควิธีการเล่าเรื่องในแบบที่เราต้องการเพื่อให้ได้ความเป็นธรรมชาติของเด็กจริงๆ แต่เราใช้ความถนัดที่เราเคยมี

พี่เปิ้ล: มันยากขึ้นกว่าเดิมมากเพราะมันไม่ใช่การแกล้งแบบเห็นชัดเจน มันกลายเป็นว่าเรากำลังมาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิตของเด็กๆน้องๆโดยเฉพาะกับกลุ่มที่เขากำลังจะโตขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคต มันก็เลยทำให้เราต้องศึกษาพวกเขาเยอะขึ้น ว่าน้องๆ CGM48 เขาธรรมชาติเป็นไง น้องเขาอายุแค่ 12-15 ปีประมาณนี้ซึ่งอายุก็พอๆกับห้าวเป้งที่มีอายุ 12 เหมือนเพื่อนแกงเพื่อน เพราะฉะนั้นมันก็เลยต้องทำออกมาให้ละมุน ละเอียด น่ารัก เพราะว่ากลุ่มนี้การที่เราจะไปใกล้ชิดเขาได้ค่อนข้างจะยาก เพราะเขาเป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมดด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้นการวางแผนการทำงานตรงนี้ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย เก็บชีวิตของเขาตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มต้นที่จะก้าวเข้ามาสู่วงการนี้ เราก็ทำงานกันหนักมาก ทีมเป้เอง ทีมงานเอง จะต้องไปฝังตัวอยู่ที่เชียงใหม่เป็นเวลาหลายเดือน ทำงานกัน 24 ชม.เลย ตื่นเช้ามาก็ต้องไปดูละว่าเขามีใครคัดตัวผ่านบ้าง พอเข้ามาแล้วหน้าตาเป็นไง พ่อแม่เป็นอย่างไร การศึกษาเป็นอย่างไร มีนิสัยเป็นอย่างไร รักอะไรไม่ชอบอะไร พวกนี้มันเป็นเรื่องที่มันไม่ใช่การทำหนังธรรมดานะ

ถ้าการทำหนังธรรมดาคือเขียนบทเสร็จก็คัดช็อตมาแล้วก็เตรียมงานไปแยกถ่าย ทีมงานไปถ่ายตามบทที่เขียนมา แต่อันนี้เป็นหนังที่ไม่มีบท สำหรับการทำหนังปัจจุบัน ตอนนี้ระบบการทำหนังแบบนี้ไม่มีแล้ว ไม่มีใครชำนาญและกล้าเสี่ยงที่จะทำแบบนี้แล้ว นอกจากทีมของคุณเป้เท่านั้น ที่กล้าเสี่ยงและชำนาญที่สุดในประเทศไทย เพราะไม่งั้นคุณจะต้องมาเรียนรู้ใหม่ นี่เราใช้เวลาเป็นสิบปีในการที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้

พี่เป้: ทีมงานก็เป็นทีมงานใหม่ด้วย ไม่ใช่ทีมงานเดิม ก็คือเรียนรู้ไปด้วยกัน

พี่เปิ้ล: มือไม้สั่นหมด ต้องไปดูกันอย่างซีน แกงน้าเน็กแล้วช้างตกใจกันทั้งโขลง เสียงเหมือนตกอยู่ในจูราสสิคพาร์ค เสียงเหมือนสัตว์ประหลาด แล้วเราก็แบบตายๆๆๆ ถ้าน้าเน็กโดนช้างเหยียบมาตายคาลำธาร ขึ้นมาเนี่ยะมันจบเลย ชีวิต แต่ดี โชคดีที่ทีมเขามีประสบการณ์ เพราะฉะนั้นเขาจะมี SECURITY มีการระวังซ้ายระวังขวาหน้าหลัง ซึ่งตรงนี้ต้องบอกก่อนเลยครับว่า คนที่ไม่ชำนาญห้ามไปทำเป็นเด็ดขาด เพราะว่าเขามองซ้ายมองขวามองหน้ามองหลังมองทะลุหมดละว่า เกิดช้างตื่นมาแบบนี้จะดึงน้าเน็กกลับมาอย่างไร ถ้าช้างเป็นแบบนี้ คือเล่นกับสัตว์เด็กเอฟเฟกต์สลิงต้องใช้มืออาชีพที่มีความชำนาญสูงที่สุดในปะเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรามีความพร้อมอยู่ เกิดใครดูเรื่องนี้แล้ว โอ้ยพี่เปิ้ลทำได้ เป้ทำได้ เราก็คงทำได้ อันนี้ขอร้องอย่าทำ เพราะต้องเป็นคนที่ชำนาญจริงๆ

 

 

Q. อยากให้พี่ทั้งสองคนเล่าให้ฟังถึงบทบาทและหน้าที่ในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าใครดูแลรับผิดชอบในส่วนไหนอย่างไรบ้าง

พี่เปิ้ล: เราแบ่งหน้าที่กันชัดเจน พี่คือร่วมแสดงและเป็นผู้อำนวยการสร้างด้วย มีหน้าที่อำนวยความสะดวก เพราะฉะนั้นเป้อยากได้อะไร บอกมาว่าอยากได้อะไรๆ หน้าที่เราคือ เราจะไม่ทำตัวเป็นฆาตกรความฝัน เพราะฉะนั้นทีมงานจะมีความฝันอยากให้โปรเจกต์นี้มันประสบความสำเร็จอย่างไร หน้าที่ของเราก็คือซัพพอร์ทเขาเพียงอย่างเดียว อยากได้อะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ ก็จะต้องทำให้มันเป็นไปได้อย่างเดียวทุกเรื่อง นั่นคือหน้าที่ของเรา ส่วนหน้าที่ของเป้ก็คือเขาวาดมาแล้ว

พี่เป้: หน้าที่ของทีมในส่วนของทีมโปรดักชั่นนะก็คือดูแล ตั้งแต่หาข้อมูลของน้องแล้วก็เริ่มต้นมาปรึกษา ซึ่งแชร์ไอเดียกันกับพี่เปิ้ล แล้วก็ทีมทั้งหมดว่าอะไร เหตุการณ์ไหนที่จะเป็นไปได้แล้วก็ต้องระดม ระดมทุกสิ่งเพื่อให้ได้ภาพน้องมากที่สุด เพราะน้อง 25 คน เราเตรียมทุกอย่างทั้งกล้อง โดรน ต่างๆนานารวมถึงกล้องวงจรปิดทั้งหลาย เซ็ทเต็มที่เพื่อให้ได้ภาพน้องมากที่สุด และเพื่อให้หนังมันออกมาสนุกที่สุด

 

Q. ว่ากันว่าการทำอะไรกับ CMG48 ก็ไม่ง่ายในการที่จะวางแผนแกงน้องต้องมีขั้นตอนเป็นการวางกระบวนการเป็นแผนๆยังไง

พี่เป้: คือในการถ่ายทำมันก็ต้องเริ่มต้นตั้งแต่มีการตั้งทั้งทีมข้อมูลซึ่งต้องแทรกซึมเข้าไปในแก๊งของน้อง ทีมนี้มีหน้าที่ที่จะต้องเอาข้อมูลมา แล้วก็ทีมสารคดีซึ่งทีมสารคดีเขาจะอยู่ถ่ายน้องตลอด24ชม. แล้วก็ต้องมีทีมอีกทีมหนึ่งที่เป็นคนดึงน้องออกมาเข้าเซ็ทต่างๆตามแผนของเรา

 

Q. ความตั้งใจแรกของ ห้าวเป้งจ๋า อย่าแกงน้อง หลังจากรับโจทย์มา

พี่เป้: เราตั้งใจจะเล่าความฝันของเด็กกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้จักเลย โนเนมมาก เราจะรู้จักแต่ BNK48 เราเห็นเขาละว่าเขามีแฟนคลับขนาดไหน มีคนสนใจขนาดไหน แต่เด็กกลุ่มนี้คือวงน้องของ BNK48 เป็นเด็กใสๆๆเลย ออกมาจากอกพ่อแม่ มาอยู่หอร่วมกัน บางคนเพิ่งย้ายโรงเรียน บางคนต้องทิ้งในสิ่งที่ตัวเองเคยชิน เพื่อนต่างๆนานา ต้องทิ้งมาหมดเพื่อให้มาอยู่หอร่วมกัน และใช้เวลาอยู่ร่วมกันหลายปีในการที่จะเป็นไอดอล เราก็แค่เล่าความฝันของเขา ว่าถ้าเขาจะไปถึง ณ จุดตรงนั้น ถ้ามีพี่ๆในวงการตัวเป้งๆเข้าไปทดสอบด้วยแบบฝึกหัดต่างๆ เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์อีกรูปแบบให้น้องๆดูซิว่าน้องๆจะสามารถไปต่อกับความฝันของเขาได้มั้ย

 

 

Q. คัดเลือกพี่ๆตัวเป้งที่จะมาร่วมเทรนน้องจากอะไร

พี่เปิ้ล: คือประเด็นหลักในการที่เราจะให้บททดสอบประสบการณ์ชีวิตกับน้องๆ ในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ เราต้องหาคนที่ The Best ดีที่สุดในแต่ละสาขา คนนี้เบอร์ 1 ของนักแสดง คนนี้เบอร์ 1 ของนักร้อง เบอร์ 1 ของนักพูด เบอร์ 1 ของพิธีกร เพราะฉะนั้นในโจทย์ต้องหาเบอร์ 1 มาเพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับน้องๆเขาได้ กลายเป็นว่าการดีลเรื่องคิวเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะได้เอาคิวเขามา โดยเฉพาะมาเล่นหนังสไตล์แบบนี้ด้วย แต่ละคนจะค่อนข้างละเอียดกับการทำงานที่ค่อนข้างเป็นโปรเฟรชชั่นแนล เราก็หาใครดีวะที่พอที่จะเข้าใจในรูปแบบการทำงานของเรา ปรากฎว่ายังมีนะคนที่เข้าใจในวิธีการทำงานของเราอยู่ เราก็เลือกเลย ถ้าเบอร์ 1 ของฮิพฮอพของแรพเปอร์ในเมืองไทยตอนนี้คือ ยังโอม ซึ่งแก๊งเค้าตอนนี้คือ ยังโอม, ฟิกซ์, ยังกู และไดมอนด์ คือกลุ่มนี้เป็นเด็กหัวใหม่ที่ฉลาด ฝีมือดีเขียนเพลงดีแต่งเพลงด้วยตัวเองทั้งหมด มีแพสชั่นทุกอย่าง พร้อมมาก แล้วโชคดีที่เขาเข้าใจในวิถีการทำงานของเรา เรื่องนี้เราก็เลยได้เขา คือเขาตอบรับมาโดยไม่ขัดอะไรเลย ได้ครับพี่เปิ้ล เฮ้ยเป็นอย่างนี้เหรอ เฮ้ยมันส์วะเจ๋งวะ ไม่มีคำถามอะไรอย่างอื่น นอกจากอารมณ์ของความมันส์ แต่ในระหว่างที่ทำงานเขาสงสัยมาตลอดว่า พี่เปิ้ลจะแกล้งพวกเขารึเปล่า คือเขายังโตทันสมัยที่เรายังแกล้งคนเล่นอยู่ ทำงานแกล้งอยู่ เขาก็เลยเข้าใจ ก็เลยได้ตอบรับมาเป็นยังโอม

พี่เป้: ถ้าพูดถึงเรื่องของพิธีกรเบอร์ 1 กันต์ กันตถาวร ไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่าเขาคือเบอร์ 1 เพราะฉะนั้นเนี่ยะในความเป็นเบอร์ 1 ของเขา โคตรเรื่องมาก จู้จี้ จุกจิก แล้วก็เนี้ยบมากในเรื่องของการทำงาน โดยเฉพาะกันต์การที่เขาเป็นเบอร์ 1 ได้เพราะว่า การทำงานที่ละเอียดของเขามาก ทุกอย่างต้องมีขั้นมีตอน เขาต้องรู้หมดทุกอย่าง พอต้องรู้หมดทุกอย่างก็ยากละในการทำงานในแบบของเรา ก็คือ เขาไม่รับงาน

พี่เปิ้ล: เราก็เลยเข้าทางแฟนเขาเลยก็คือคุณพลอย เพราะว่าเข้าตรงๆไม่ได้แน่ ผู้ชายคนนี้การทำงานคือเป๊ะมาก รู้จักกัน สนิทกัน เพราะฉะนั้นมีทางเดียวคือเข้าทางพลอย ซึ่งพอเล่าให้พลอยฟังปุ๊บ พลอยบอกเอาๆพี่เอาด้วยสนุก ก็วางแผนกันไป ก็เลยเป็นที่มาที่ได้ตัวกันต์มาเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับน้องๆเขา

พี่เป้: ในส่วนของกันต์ เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าจะต้องมาร่วมขบวนการของเรา เขาแค่รู้ว่าเขารับงานมาเป็นแค่พิธีกรในงานอีเวนท์ๆหนึ่ง ร่วมกับเด็กๆทีม CGM48 เขาจะรู้แค่นี้ ซึ่งลองนึกภาพดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นว่าถ้าเขามาแล้วมาเจอทีมงานที่ไม่เป็นเลย ทีมงานที่มีแต่ข้อผิดพลาด มีแต่เรื่องแบบเฮ้ยไม่ใช่ แล้วน้องก็ได้สคริปต์มา ก็อ่านไม่ได้ เพราะฉะนั้นกันต์ที่เป็นแบบพิธีกรรายการสดที่ดีที่สุดในประเทศ และถ้าต้องเจออะไรที่ต้องแก้ปัญหาสดๆๆ กันต์จะทำอย่างไร

พี่เปิ้ล: คือกันต์เขาเป็นคนที่ต้องทำงานเป๊ะๆ แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อเจอทีมงานที่ทำงานแบบห่วยๆๆ

ทีนี้มาถึงแจ๊ค แฟนฉัน เป็นน้องที่สนิทมากๆ แกล้งทีไรก็อร่อยทุกครั้ง มาวันหนึ่ง เราต้องหาคนที่ฮอตที่สุด ณ ตอนนั้นก็คือ แน็คชาลี แน็คแฟนฉัน ไม่มีเบอร์ก็เลยโทรหาแจ๊คแฟนฉัน แต่แน็คเขาไม่ว่าง แล้วเป้ก็บอกว่าทำไมเราไม่เอาแจ๊คล่ะในเมื่อน้องพร้อม เราเลยก็ต้องยอมซะหน่อย ก็เลยชวนแจ๊คไปเชียงใหม่กับพี่นะ เราจึงได้แจ๊คมาร่วมขบวนเป็นพี่เป้งไปด้วยกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งแจ๊คเป็นน้องที่น่ารักมาก เขากลายเป็นอันดับ 1 ไปแล้ว ถ้าเรามองกลับไปไทม์ไลน์ชีวิตของแจ๊ค เราจะรู้เลยว่าแจ๊คแฟนฉันคืออันดับ 1 ของประเทศไทยในเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างไรให้อยู่ในสิ่งที่ตัวเองรักไปได้ตลอดชีวิต นี่คือสิ่งที่เป้มอง หลังจากนั้นเราก็มาคิดต่อว่าให้แจ๊คมาสอนเด็ก CGM48 ว่าทำยังไงให้อยู่วงการนี้ได้ เพราะการทำธุรกิจ ทำวง ทำอะไรก็แล้วแต่ ทำให้เจริญ ทำให้ดัง ให้รุ่ง มันไม่ยาก แต่ทำให้มันลอยอยู่บนฟ้าได้นานๆเหมือนพลุทำได้ยังไงมีแจ๊คแฟนฉันนี่แหละที่ทำได้ เพราะฉะนั้นแจ๊คคือเบอร์ 1 ที่เราภูมิใจมาก ว่าเขาจะต้องมีของเอาไปให้กับน้องๆๆได้เรียนรู้ได้ศึกษาแน่นอน

พี่เปิ้ล: คนต่อมาก็คือน้าเน็ก อันนี้ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจนะเพราะน้าเน็กเขาอยู่สื่อของออฟไลน์มาตลอดชีวิต จนกระทั่งมาวันหนึ่ง มันมีการเปลี่ยนแปลงโลกของสื่อ จากออฟไลน์มาเป็นออนไลน์แบบกระทันหัน คนที่ปรับตัวได้เร็วมากๆมันมีไม่กี่คนในวงการ น้าเน็กคือหนึ่งในนั้น ที่สามารถประสบความสำเร็จทั้งในออฟไลน์และออนไลน์แบบที่หาคนเทียบลำบากมาก เขาคือเบอร์ 1 ของเจนของพวกเราคนยุค 80-90 อะไรคือ KEY SUCCESS ของเขา พอเราชวนเขาๆก็พร้อมที่จะร่วมไปกับเรานี่คือความเป็นเพื่อน นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาอยู่ในวงการได้ยาว แล้วเขาสามารถDISRUPT ตัวเองได้ในทุกๆที่ ด้วยการให้ของเขา เขาถึงคลอดรายการออกมาที่ชื่อว่า อย่าหาว่าน้าสอน นี่คือการให้สังคมด้วยธรรมชาติที่แท้จริงของเขา นั่นก็ต้องเป็นน้าเน็กแล้วที่จะมอบสิ่งดีๆเหล่านี้ สิ่งที่ดีที่สุดให้กับน้องกลุ่มนี้ กลุ่มCGM48 ของเราในภาพยนตร์เรื่องนี้

แล้วก็ยังมีอีกหลายๆคนที่เรารัก และเป็นพี่น้องกันทันทีที่โทรปุ๊บเขาก็มาปั๊บเลย โดยที่ไม่ต้องลังเล ไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะ แค่เรารู้สึกรักกัน แค่เขาคิดถึงเรา เราคิดถึงเขา สุดท้ายก็ได้มาร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่องนี้ เดี๋ยวต้องเข้าไปดูว่ามีใครบ้าง

 

 

Q. อย่างพวกพี่เป้งๆตอนไปทาบทามเขาไม่กลัวหรือไม่เอะใจเหรอว่าจะโดนพี่เป้พี่เปิ้ลเอามาแกงรึเปล่า

พี่เปิ้ล: ส่วนมากทั้งหมดก็ไม่รู้ แต่ทุกคนก็ตะหงิดๆๆกับชีวิตเขาอยู่แล้วละ ทันทีที่เปิ้ลกับเป้โทรไป

พี่เป้: คือระแวงหลังกันอยู่

 

Q. กลับมาทำอะไรที่ถนัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนที่รู้ใจในโปรเจกต์สนุกๆห่ามๆแบบนี้พี่ๆแต่ละคนรู้สึกอย่างไรบ้าง

พี่เปิ้ล: เราทำงานร่วมกันกับเป้ก็ 10 กว่าปีละในสายของห้าวเป้ง ในวิถีของการแคนดิด แล้วก็เพิ่งมาแยกกันทำงานก็เกือบ 10 ปีเหมือนกัน แล้วพอกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง เหมือนตัวเองกลับไปเป็นวัยรุ่นเหมือนเดิม มันแบบเฮ้ยกูได้กลับมาทำ เหมือนย้อนอดีต ย้อนเวลากลับไปตรงนั้น พอมาถึงตรงนี้ปุ๊บเออมันสนุกดีนะ การทำงานเหมือนเล่นบอล พอมาวันนี้เรารู้แล้วว่าตำแหน่งของเขาคืออะไร เราก็จะไม่วิ่งไปแย่งลูกเขา เขาก็จะไม่วิ่งมาแย่งลูก เรามีหน้าที่คือเตะบอลส่งกันไปส่งกันมา แล้วคอยยิงๆๆๆในตำแหน่งของตัวเอง แค่นั้นเอง ซึ่งกลายเป็นว่า มันสมู้ทมาก แล้วก็สมู้ทมากขึ้นกว่าเดิมด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าเราโตขึ้นมั้ง มันกลายเป็นการทำงานที่ไม่เข้าไปเล่นบอลที่มันปนกันไปปนกันมา มันก็เลยเป็นการทำงานที่ค่อนข้างสมู้ท ปัญหาน้อยมากเลยเรื่องนี้

พี่เป้: คือปกติเวลาเราทำงาน เราเหมือนคิดว่ามันเป็นเล่นก่อน คือสนุกกับมันก่อน พอคิดโปรเจคต์เรื่องนี้ขึ้นมาก็เหมือนว่าเปิ้ลวันนี้เราจะไปเตะบอล ไปมั้ย ไม่ได้ไปเตะบอลนานแล้วนะ อารมณ์นั้นแหละ อารมณ์ชวนเพื่อนมาเล่น เพราะถ้าจะทำหนังแบบนี้มันจะต้องเป็นคนที่ต้องเข้าใจกันและเข้าขากัน เหมือนเปิ้ลเวลาคิดอะไร เปิ้ลจะคิดแบบค่อนข้างที่จะเป็นก้อนใหญ่ไว้ก่อน เราก็ต้องลองเดินไปก่อน ว่าไปทางนี้โอเคมั้ย เวลาติดอะไรก็ค่อยมาคุยกัน ถ้าอันนี้ไม่ได้ เปิ้ลก็เติมเข้ามา มันก็แชร์กัน มันก็สนุก มันเหมือนไปสนุกด้วยกันมากกว่า

 

Q. ครั้งที่แล้วเป็นห้าวเป้งจะเป็นพี่หม่ำ, น้าแอ๊ด คาราบาว, โก๊ะตี๋, BABY VOX ออกแนวแมนๆผู้ชายๆ คราวนี้เป็นการแกงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง CGM48 แตกต่างกันอย่างไร

พี่เปิ้ล: คือการกลับมาครั้งนี้ มันก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้วละ เรารู้แต่ว่า จากเด็กชายห้าวเป้งเมื่อ 12 ปีที่เกิดมาตอนนี้เขาเป็นเด็กชายซนๆคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นวิธีคิด อายุ อารมณ์ ความสามารถในการแกงกันของเขาหรือความสามารถในการที่จะเซอร์ไพรส์คน มันน่าจะโตตามวัย ก็ต้องไปลองดูกันละกัน สำหรับคนที่อยู่ในยุคนั้น เคยดูอยู่แล้ว ก็อย่าเอามาเปรียบเทียบกัน เพราะมันเป็นอารมณ์ของคนยุคนี้กับน้องที่น่ารักของเราที่มีชื่อว่า CGM48 สำหรับน้องสาวที่พี่จะมามอบประสบการณ์ใหม่ในสไตล์ที่พี่ถนัด ก็ถือซะว่า เป็นการสร้างประสบการณ์ในแนวทางของพวกเราละกัน แต่รับรองว่ามันจะเป็นความรู้สึกที่ใหม่แล้วก็น่ารัก แล้วก็สนุก แล้วก็ซน ซนกว่าเดิมแน่ๆ เพราะว่าคนที่มาร่วมกับเรา แต่ละคนเนี่ยะก็สุดของสุดแห่งปีจริงๆ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องดูเรื่องนี้นะ ห้าวแป้งจ๋าอย่าแกงน้อง

พี่เป้: ก็ในรอบ 12 ปีจากที่เคยทำหนังเรียลลิตี้ ซึ่งมันก็เป็น 12 ปีที่ยังยากเหมือนเดิม แล้วก็ยังสนุกกับพี่ๆ ที่เข้ามาร่วมสนุกกับเราเหมือนเดิม ถ้าเราได้ดูก็จะได้เห็นความสนุกของพี่ๆที่สำคัญคือ เราจะได้เห็นธรรมชาติของน้องๆวงCMG48ที่หาซื้อกันไม่ได้ บทก็เขียนกันไม่ได้ นั่นล่ะที่ทุกคนจะได้เห็น

พี่เปิ้ล: หนังที่ไม่มีบทเลย มันยากสำหรับทีมงานนะ แต่มันสนุกมากสำหรับคนดู บอกเลย เพราะว่าทั้งหมดมันคือธรรมชาติ อะไรก็ไม่อร่อยเท่ากับธรรมชาติ มันคือ ออร์แกนิคมูฟวี่ 

พี่เป้: มันคือธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารเคมี เพราะเวลามีบทมีอะไรทั้งหลายแหล่ มันต้องคิด ต้องมีข้อมูล ต้องเอามาปรุงอะไรต่างๆเหมือนเคมีสูตรผสมผสาน แต่อันนี้ปล่อยให้มันโตแบบธรรมชาติไปเรื่อยๆ วันนี้เด็กมีอารมณ์แบบนี้ เราก็ต้องเปลี่ยนบทใหม่ เด็กมีอารมณ์กำลังกลัวผี กำลังเชื่อไสยศาสตร์ กำลังเชื่อในเรื่องของการต้องซ้อมหนัก กำลังแฮปปี้ กำลังดาวน์ กำลังขึ้น เราต้องเปลี่ยนไปตามธรรมชาติของเขาหมด เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไง เขาก็ไม่รู้ว่าเราจะทำอย่างไร ต่างคนต่างไม่รู้ ไปอยู่ต่อหน้าแอบมองซึ่งกันและกัน แล้วหนังก็ถูกถ่ายไปแบบตามความเป็นจริงนั้นๆ ใช้วิธีการวางแผนเอาอย่างเดียวเลย

 

 

Q. สำหรับคนที่เป็นแฟนๆของ CGM48 หรือ เป็นแฟนห้าวเป้ง เราจะได้เห็นอะไรใน ห้าวเป้งจ๋าอย่าแกงน้อง

พี่เปิ้ล: นี่คือเสน่ห์ที่หาซื้อไม่ได้จริงๆนะ เพราะว่าเราได้สัมผัสน้องๆเขาตั้งแต่เขาได้มาสมัครวันแรกเลย พ่อแม่จูงมือกันเข้ามา จนกระทั่งเขาสอบผ่าน มันมีการคัดตัว คัดผ่าน บางคนคัดไม่ผ่านก็ร้องไห้ไป บางคนคัดผ่านก็ร้องไห้อยู่ดี เพราะดีใจ มันมีทั้งเสียใจและดีใจ จนกระทั่งตัวเองได้เข้ามาอยู่ในการฝึก ในการหล่อหลอม เพื่อที่จะโตขึ้นมาเป็นมืออาชีพ ตรงนี้เราได้เห็นพัฒนาการของเขาทุกอย่างเลย เห็นหมดว่าเขาเติบโตขึ้นมายังไง จนกระทั่งภาพถ่ายวันแรก กับภาพวันที่หนังจบ ในช่วงเวลาปีกว่าๆ เขาเปลี่ยน เขาเปลี่ยนเยอะมากนะ หน้าตานี้เปลี่ยนตั้งแต่ดวงตาเขาไปจนถึงทักษะของเขา ตั้งแต่ไม่เป็นจนฝึกมาแล้ว มันมีพัฒนาการแบบนี้จริงๆ คุณจะได้เห็นในหนังเรื่องนี้นะ ภูมิใจได้เลยว่า เราได้เก็บสิ่งเหล่านี้มาให้พวกคุณได้ชมกันแล้ว ได้ดูกันแล้ว ทุกคน เยี่ยมยอด สุดยอดมาก

พี่เป้: ใน CGM48 ที่เราทำ เราจะได้เห็นน้องๆตั้งแต่เริ่มออกมาจากบ้านเลยมาอยู่หอ เห็นหน้าใสๆแววตายังหลงๆว่าจะมาอยู่หอที่นี่จริงๆ เหรอ บางคนดีใจนะที่ได้มาอยู่หอ บางคนว้าเหว่ คิดถึงบ้าน คือเราจะได้เห็นตั้งแต่เริ่มจนผ่านไป 1 ปีมาถึงช่วงที่เราไปทดสอบ ไปฝึกเทรนน้องๆโดยพี่ๆทีมห้าวเป้งที่เป็นที่ 1 ในทุกวงการตลอดสัปดาห์ จนสุดท้ายได้ขึ้นเวทีและเริ่มเป็นที่รู้จัก มีแฟนคลับที่ชื่นชอบ เราจะได้เห็นพฤติกรรมนี้ไปพร้อมๆกันกับการก้าวเข้ามาเป็นไอดอลจริงๆ ของ CGM48 เราใช้เวลาอยู่กับโปรเจกต์นี้ 1 ปี 3 เดือนซึ่งไม่ง่ายเลย

 

Q. นอกจากน้องๆแล้วยังมีพี่ๆตัวเป้งๆในวงการด้วย พี่เป้พี่เปิ้ลอยากพูดอะไรถึงพี่ๆตัวเป้งๆกันบ้าง

พี่เปิ้ล: ก็นอกจากที่จะได้เห็นว่าน้องๆ CGM 48 ได้รับบทเรียนประสบการณ์ใหม่ในสไตล์ของพวกเราแล้ว ว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะได้เห็นพี่ๆแต่ละคนซึ่งเป็นระดับมือโปรมือ 1 ของเมืองไทยเข้ามาในวังวนของห้าวเป้ง และในเมือเขาเข้ามาแล้วก็จะต้องไม่กลับบ้านมือเปล่า เขาก็จะได้รับประสบการณ์อย่างที่คนในประเทศไทยยังไม่เคยเห็นมาก่อนว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับ กันต์, น้าเน็ก, แจ๊ค ฯลฯ แต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง ก็ต้องไปดูกัน

 

Q. สุดท้ายในฐานะผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้ก่อตั้งการแกงระดับตัวพ่ออยากฝากบอกอะไรกับเหล่าผู้คนศิลปิน เซเลป คนดังทั่วฟ้าเมืองไทยที่เคยโดนพี่เปิ้ลแกงมาแล้วบ้าง

พี่เปิ้ล: ก็ทุกวันก็รู้ตัวอยู่แล้วละว่าชีวิตคงแก่อย่างไม่สงบอย่างแน่นอน เพราะโดนหมายหัวไว้เยอะ ทั้งจากเพื่อนๆ ทั้งหน่วยงานราชการ และทุกหน่วยงานของประเทศไทย

พี่เป้: พวกเด็กรุ่นใหม่เองก็อยากจะดึงเข้ามามากๆ

พี่เปิ้ล: จริงๆยูทูปเบอร์ทั้งหลายที่จ่อคิวกับผจก.ว่าเมื่อไหร่พี่เปิ้ลจะว่าง ขอแกล้งพี่เปิ้ลได้มั้ย พี่เปิ้ลก็รอ รออยู่นะ และก็รอตัวเองให้แข็งแรงไว้เพื่อให้น้องๆได้แกล้งกลับคืนกัน พี่พยายามสร้างตัวเองให้ไม่เจ็บไม่ป่วยเดี๋ยวน้องจะแกล้งไม่ได้ ก็รออยู่ ส่วนน้องคนไหนยังไม่โดนพี่ก็ เตรียมตัวไว้ละกัน เพราะยังไง สีสันในชีวิตของน้องขาดพี่ไม่ได้ทุกคนละครับ

 

: เป้ นฤบดี, เปิ้ล นาคร, ห้าวเป้งจ๋า อย่าแกงน้อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • เป้-นฤบดี เวชกรรม เปิดใจถึงเส้นทางบนถนนสายภาพยนตร์ และผลงานเรื่องล่าสุด 14อีกครั้ง I Love You Two Thousand
  • เปิ้ล นาคร ชวนร่วมจับเคล็ดรวยพร้อมกัน กับรายการ "SME SECRET จับ เคล็ด รวย"
  • เผยใบปิดคาแรกเตอร์ เปิ้ล, น้าเน็ค, กันต์, แจ็ค, ยังโอมแอนด์เดอะแก๊ง ใน "ห้าวเป้งจ๋า อย่าแกงน้อง"
  • "คอนเซปต์โดดเด่น เสน่ห์เฉพาะตัว และความท้าทาย" คือโจทย์ใหญ่ของ "ห้าวเป้งจ๋า อย่าแกงน้อง"
  • นักสืบโซเชียลถึงเวลาทำคะแนน! "เป้ นฤบดี" และ "เปิ้ล นาคร" เตรียมเปิด #ขบวนแกง จะมีใครบ้าง? ลุ้นกันเร็ว ๆ นี้
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :