“ท่ามกลางวิกฤติด้านสุขภาพในปัจจุบัน ที่ซึ่งทำให้โรงภาพยนตร์จำนวนมากถูกสั่งปิด หรือถูกจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการอย่างรุนแรง เพราะปัญหาโรคระบาดที่แพร่กระจายทั่วโลก ผมยังคงมีความหวังอย่างมั่นใจว่าเมื่อถึงเวลาที่มันปลอดภัยแล้ว ผู้ชมจะกลับมาดูภาพยนตร์กัน ผมอุทิศตัวเพื่อขับเคลื่อนสังคมภาพยนตร์ของเรามาโดยตลอด ขับเคลื่อนสังคมภาพยนตร์อย่างเช่นการออกจากบ้านเพื่อไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ และสังคมภาพยนตร์มันก็ยังให้ความรู้สึกถึงมิตรภาพที่มีต่อคนอื่น ๆ ที่ออกจากบ้านของพวกเขาแล้วก็มานั่งอยู่ด้วยกันกับเรา ในโรงภาพยนตร์คุณได้ดูหนังกับคนอื่น ๆ ที่สำคัญในชีวิตของคุณ แต่คุณก็ยังอยู่ในกลุ่มของคนแปลกหน้าอีกมากมายเลยด้วย นั่นมันคือความมหัศจรรย์ที่เราได้สัมผัสเมื่อเราออกไปดูหนัง หรือไปแสดง หรือไปคอนเสิร์ต หรือไปเล่นตลก เราไม่รู้เลยว่าทุกคนที่นั่งอยู่รายล้อมเราเป็นใคร แต่สิ่งที่เราได้ดูมันทำให้เราหัวเราะ หรือร้องไห้ หรือยินดี หรือได้คิดใคร่ครวญอะไรบางอย่าง และจากนั้นเมื่อแสงไฟสว่างขึ้น เราก็ลุกจากที่นั่งของเรา ทุกคนก้าวออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง โดยไม่รู้สึกว่าเราเป็นคนแปลกหน้ากันอีกต่อไปเรากลายเป็นคนกลุ่มหนึ่ง และมีความคล้ายกันด้วยหัวใจและความรู้สึกที่อยู่ในใจ หรือจะคล้ายกันด้วยการเปรียบเทียบใด ๆ ก็ตาม เราคล้ายกันด้วยการแบ่งปันประสบการณ์อันทรงพลังในเวลากว่า 2 ชั่วโมง ช่วงเวลาสั้น ๆ ในโรงภาพยนตร์นั้นมันไม่ได้ลบล้างสิ่งต่าง ๆ มากมายที่แบ่งแยกเรา ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ หรือชนชั้น หรือความเชื่อ หรือเพศ หรือเรื่องของการเมือง แต่ประเทศของเรา และโลกของเรารู้สึกได้ถึงการแบ่งแยกที่ลดน้อยลง และรอยแตกร้าวที่น้อยลง หลังจากได้มารวมกลุ่มกับคนแปลกหน้า แล้วก็ได้หัวเราะ ร้องไห้ และกระโดดลุกจากที่นั่งไปด้วยกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน ศิลปะขอให้เราตระหนักถึงความเฉพาะเจาะจงและความเป็นสากลในคราวเดียวกัน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมทุกสิ่งที่มีศักยภาพในการที่จะเชื่อมโยงเราเข้าหากัน มันถึงไม่มีอะไรที่จะทรงพลังไปกว่าการสัมผัสประสบการณ์ทางศิลปะร่วมกันเป็นกลุ่มนั่นเอง”