ประเดิมจอเงินครั้งแรกร่วมงานกับ "พี่ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค" แตกต่างจากงานที่ผ่านมามั้ย ?
"ครั้งแรกของการแสดงคือเล่นซีรีย์ ซึ่งจะเป็นซีรีย์เด็กๆ ออกแนวคอมมาดี้ใสๆ แต่พอมาเป็นเรื่องนี้จะค่อนข้างต่างจากงานที่ผ่านมา วันแรกที่เพลงมาถ่ายคือ ซีนร้องไห้เลย"
อยากให้เล่าถึงคาแร็คเตอร์ของ "แป้ง" หน่อย ?
"คาแร็คเตอร์ของแป้งตั้งแต่ตอนที่เพลงอ่านรู้สึกว่าตอนเด็กๆเขาทั้ง 2 คนความรักที่มีให้กันคือ มิตรภาพตอนเด็กของพวกเขาที่น่ารักมาก พอตอนโตที่พวกเขาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตพลิกผันจากตอนเด็กที่ใสๆน่ารัก สมวัยมาเป็นการผจญภัยที่ต้องตามหาฝันเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าสนใจมากๆค่ะ ยิ่งเพลงคิดว่าตัวนางเอกเองมีบางมุมที่คล้ายเพลงเหมือนกัน คือนางเอกเป็นคนที่สู้ตาย ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน แต่ไม่ได้แข็งจนเกินไปหรืออ่อนจนเกินไป เลยทำให้รู้สึกได้ถึงมุมตรงนี้ที่คล้ายกันกับเพลง เลยทำให้เวลาเล่นแล้วรู้สึกสนุกและอินไปกับตัวละครเหมือนกัน ซึ่งตรงนี้ด้วยล่ะค่ะที่ทำให้ตกลงรับแสดงเรื่องนี้"
พอได้รับคำแนะนำจากผู้กำกับแล้วเป็นอย่างไงบ้าง ?
"พี่ต้อมอยากให้เห็นถึงความสดใหม่ของการแสดงแกจะให้เล่นไปตามสัญชาติญาณ ที่นึกคิดคือ ศาสตร์ของภาพยนตร์สิ่งแรกที่เพลงเห็นต่างกันจากงานอื่นๆ คือเวลาที่ถ่ายทำสมมุติอารมณ์ไม่มาอย่างนักแสดงใหม่ พี่ต้อมจะให้ทบทวนบทคือ ช่วงที่ต้องสั่งถ่ายทำจริงๆ แทนที่จะพูดสคริปทีเดียวผ่านดูแล้วร้องไห้ ไม่ได้พี่ต้อมจะให้พูดซ้ำๆ พูดจนกว่าจะร้องไห้ ก็เป็นวิธีการช่วยให้นักแสดงได้รู้สึกตัวละครนั้น ที่น่าจะต่างจากละครเพราะถ้าละครพูดผิดก็ถ่ายใหม่ ร้องไห้ไม่ได้ก็เทคใหม่ แต่นี่ปล่อยให้นักแสดงมีอารมณ์ค่อยๆเข้าใจกับฉากนั้นๆมากขึ้นซึ่งเพลงคิดว่า มันช่วยได้เยอะ"
ต้องเจอกับซีนดราม่าด้วยเป็นอย่างไรบ้าง , มีเทคนิคให้ผ่านบทเหล่านั้นไปมั้ย ?
"จริงๆก่อนถ่ายทำก็จะฟังจากเรื่องราวพี่ต้อมเล่าเรื่องราวว่าเป็นอย่างไร ความรู้สึกตอนนี้ความหมายของแต่ละคำที่ต้องพูดออกมามีความสำคัญอย่างไร อย่างคำว่า ขอโทษ หรือว่า ไม่เคยโกรธ ความหมายลึกๆ มันคือ "ฉันรักเธอ" เพราะฉะนั้นพอคิดไปถึงจุดๆนั้นคือ ความรู้สึกมันจะเกิดขึ้นไปเอง ซึ่งจริงแล้วเพลงกังวลมากเพราะเพลงเป็นคน ถามว่าร้องไห้ยากมั้ยก็ยากอยู่ คือ เพลงไม่เคยเล่นอะไรที่ต้องร้องไห้มาก่อนเลย เจอไปวันแรกรู้สึกท้าทายแต่ก็รู้สึกสนุกไปประสบการณ์ที่ได้มา ซึ่งโชคดีตัวช่วยๆ ในครั้งทำให้งานลุล่วงไปได้"
พอได้มาแสดงภาพยนตร์แล้วความรู้สึกเป็นอย่างไงบ้าง ?
"จริงๆ แล้วแสดงภาพยนตร์สิ่งแรกที่เพลงเห็นต่างกันคือ เวลาที่ถ่ายทำสมมุติอารมณ์ยังไม่มาอย่างนักแสดงใหม่พี่ต้องจะให้ทวนบทคือใน ช่วงที่แอ็คชั่น แทนที่จะต้องพูดสคริปทีเดียวผ่านดูแล้วร้องไห้เป็นพี่ต้อมจะไม่ใช่นะค่ะ พี่เขาจะให้พูดซ้ำๆ พูดจนกว่าเพลงจะร้องไห้ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นวิธีการช่วยที่มันต่างจากละครเพราะถ้าละครถ้าเราพูดผิดก็ เอาใหม่ ร้องไห้ไม่ได้ก็เทคใหม่ แต่นี่ปล่อยให้อารมมันค่อยๆมากขึ้นซึ่งเพลงคิดว่ามันช่วยได้เยอะ"
ตอนที่ตัดสินใจเล่นรู้หรือยังว่าเป็น "เก้า-จิรายุ ละอองมณี" เล่นด้วยพอเพลงจะมาเล่นด้วย ?
"วันแรกที่พี่ต้อม(ยุทธเลิศ สิปปภาค) นัดให้มาคุยกันเล่าเรื่องย่อของหนังก่อนยังไม่ได้บอกอะไร พอเดินเข้ามาในห้องก็เจอคุณแม่เก้า แล้วตอนนั้นพี่ต้อมก็ถามว่าเล่นมั๊ยรอคำตอบนะ แล้วเพลงก็คิดนะว่าเล่นดีมั้ย ด้วยความที่เพลงไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะคิดหนักกังวลว่าจะทำได้หรือป่าว ยิ่งเป็นคนที่ไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน ไม่เคยผ่านการแสดงเต็มๆมา พอเวลาพี่ต้อมบอกมาว่าต้องเล่นหนังที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์มันรู้สึกว่าจะ รับความกดดันตรงนั้นไหวมั้ย แล้วมีเรื่องเรียนด้วยก็ต้องแบ่งเวลาให้ดีคือสิ่งหนึ่งที่กังวลมากจะคุยกับ คุณแม่ตลอดว่าเพลงไม่อยากทำงานจนเรื่องเรียนเสีย เพราะว่าเพลงเป็นคนที่ค่อนข้างจะตั้งใจและให้ความสำคัญเรื่องการเรียนมาก"
พอได้ทำงานจริงๆ หรือลองสัมผัสแล้วมียืดหยุ่นและเลือกได้ทำให้ทุกอย่างลงตัว ?
"ก็ไม่โหดเท่ากับคิวของละครซึ่งพอแบ่งเวลาแล้วก็ลงตัวเหมือนเทอมนี้โชคดี หน่อยก็คือเรียนจันทร์-พฤหัสบดี และศุกร์-อาทิตย์ ก็ให้เวลากับการทำงานได้"
แสดงภาพยนตร์กับ "เก้า" ทำงานด้วยกันเป็นไงบ้าง ?
"ถือว่าโชคดีนะค่ะคือ เหมือนเพลงกับเก้าก็จะคอยช่วยเหลือกันด้วยแหละค่ะ เพลงกับเก้าเคยเจอกันตอนเดินแบบแล้วก็งานอันหนึ่ง แต่เราทั้งคู่ยังไม่เคยได้คุยกันจริงๆ ว่านี่เราเพลงนะ นี่เก้านะยังไม่ได้คุย จนวันแรกมาเจอกันที่กองถ่ายหนังก็ไม่ได้คุยกันเต็มๆ อีกแต่เข้าซีนอารมณ์เลย แล้ววันนั้นทำงานวันแรกก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลยเพราะต่างคนต่างทำงาน เล่นกับเก้าแล้วรู้สึกว่าซีนนั้นมันเป็นซีนเดียวเลยที่ต้องเจอเขาแล้วต้อง ร้องไห้ เก้าเป็นคนที่ส่งอารมณ์ได้ดี ไม่ได้ส่งผ่านทางคำพูดเพียงอย่างเดียว แต่ไปพร้อมกับสายตาด้วย ถ้าเก้าไม่ส่งอารมณ์ที่จะทำให้เพลงเข้าถึงละครตอนนั้น เพลงก็คิดว่าคงเล่นไม่ได้หรอก ก็ต้องขอบคุณเก้าด้วยจริงๆ"
มาเล่นแสดงหนังเต็มๆ ตัวเรื่องแรกก็เจอบทที่ท้าทายด้วย ?
"อย่างคิวแรกๆ ที่ถ่ายจะมีอารมณ์โกธรด้วย ซึ่งหลายครั้งที่ถ่ายจะเจอซีนร้องไห้คือ ผิดหวังในหลายๆ อย่าง หรือว่ารู้สึกเสียใจ หรือบางซีนก็จะดราม่าในเชิงโมโหหรือว่าอารมณ์ร้อนผสมด้วยซึ่งก็ถือว่าแต่ละ ฉากท้าทายตัวเองที่จะทำอย่างไงให้ผ่านพ้นไปได้"
ว่าถึงการทำงานกันบ้าง อยากให้พูดถึงพี่ต้อม (ยุทธเลิศ สิปปภาค) หน่อยค่ะพอมาทำงานด้วยกันแล้วเป็นไงบ้าง ?
"รู้จักพี่ต้อมอยู่แล้วเพราะผลงานพี่ต้อมที่ดังๆ ทุกเรื่องเลยเจอครั้งแรกก็เกร็งๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหานะครับ เพราะผ่านพ้นไปได้แล้วก็ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าต้องพัฒนาและฝึกฝนเยอะๆจะได้ เก่งๆ เพราะบางครั้งการทำงานไม่ใช่เรื่องแค่พรุ่งนี้วันนี้แล้วจบ ที่สำคัญคิดว่าเนื้อหาของภาพยนตร์ต้องมีอะไรที่เป็นรู้สึกที่อยากจะนำเสนอ ให้ผู้คนสนใจเพราะ พอเป็นพี่ต้อมด้วยเลยมาลองคุยดูพอทำงานไปด้วยกันสักพัก ตั้งแต่วันแรกค่อนข้างเกร็งเลยค่ะ เพราะว่าเพลงมักจะทำอะไรเร็วๆ ในชีวิต พอมาแสดงหนังก็เล่นเร็วตามชีวิตคนตัวเอง พี่ต้อมบอกไม่ได้ต้องคิดให้ช้าลง นับ 1 2 3 เปลี่ยนกิริยา ก็รู้สึกใจหนึ่งก็กลัวกังวลว่าจะทำได้ดีมั๊ย พี่ต้อมและทุกคนให้โอกาสแล้ว ความรู้สึกคือไม่อยากทำให้ผิดหวัง โอกาสไม่ได้มาหาบ่อยๆ แต่รู้สึกดีใจด้วยที่พี่ต้อมใช้วิธีการสอนในหลายแบบๆ ไม่ได้ใช้วิธีการดุหรือกดดัน จนทำให้เครียด เพราะว่าเพลงเป็นคนที่ยิ่งเครียดยิ่งทำอะไรไม่ได้ดี ต้องผ่อน แล้วการทำงานของพี่ต้องคือค่อยๆพูด ค่อยแนะนำ โดยที่ทำไม่ได้ก็พัก ไม่ได้เดี๋ยวก็รอพูดใหม่ พูดใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเกร็ง เล่นไปตามอารมณ์เพื่อให้เข้าใจบท เพื่อให้เข้าใจว่าตัวละครตัวนี้คิดอะไรอยู่ ต้องการอะไร คือช่วยนักแสดงมือใหม่อย่างเพลงได้มากๆจริงๆ ค่ะ"
มิตรภาพจากภาพยนตร์ให้อะไรบ้าง ?
"ความเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้างคนทุกคน วันไหนที่ไม่มีใครก็มีเพื่อนนี่แหละ ที่คอยเคียงข้างกัน ความรักของเพื่อทำให้ทุกคนมีกำลังที่จะเดินหรือแม้กระทั่งเรื่องความรักเอง ที่สะท้อนให้เห็นความรักของเด็กสองคนนี้มันไม่ใช่ความรักแบบหวือหวา โรแมนติกเลิฟ แต่มันเป็นความผูกพันที่เหนียวแน่น ไม่ว่าคุณจะเข้าใจกันผิด จะมองกันไม่ดีแค่ไหนสุดท้ายแล้วความรักมันทำให้เราให้อภัยได้ทุกอย่าง คนที่เรารัก คนเราอาจจะทำอะไรโดยที่ไม่ตั้งใจ แต่ความรักถ้ามันแข็งแรงกว่ามันทำให้เรามองข้ามสิ่งเลวร้ายนั้นไปคิดว่าคน ชอบหนังเรื่องนี้"
มุมในภาพยนตร์แบบนี้คนอาจะชอบที่ว่าด้วยเรื่องของความผูกพัน
"ใช่ค่ะ… เพราะว่าตอนเด็กน้อง 2 คน (แม็ค และพรีม) ที่เล่นด้วยกันเพลงเชื่อว่าต้องทำให้หลายๆคนน้ำตาแตก ในเรื่องความน่ารักของเขา ความผูกพันของเขา
ชีวิตจริงน้องเพลงมีเพื่อนที่คบตั้งแต่จนโตแล้วยังดูแลกันอยู่มั้ย ?
"มีค่ะ…เพลงจะมีเพื่อนตั้งแต่อนุบาลเลยทุกวันนี้เขาไปอยู่เมืองนอกก็ยัง คุยกันตลอด เหมือนโตขึ้นทำงานมากขึ้น ต่างคนมีจุดเดินที่ต่างกันตามฝันของตัวเองถึงไม่ได้เจอกันบางทีการที่เห็น ได้ยินเสียงเพื่อน ไม่ต้องพูดอะไรมากเพื่อนก็เข้าใจ เหมือนรู้สึกเสียใจ ไม่ต้องมานั่งพูดว่าเสียใจเรื่องนี้ เสียใจมากแค่ไหน เพื่อนก็รู้ เขาไม่พูดอะไรมากเขาแค่เดินมากอดเราก็แค่นั้น เวลาทำอะไรจะนึกถึงเรื่องเก่า ๆในอดีตพวกนี้ซึ่งถือเป็นความผูกพันกันตั้งแต่สมัยเป็นเด็กจนโต
"เพลง" คิดว่าคนจะได้รับมุมมองแบบไหน หลังจากชมภาพยนตร์จบบ้าง ?
"มุมมองจริงๆมันมีทั้งในด้านเข้าใจโลก เวลาเพลงอ่านรู้สึกว่าตอนเด็กทุกอย่างมันดูสวยงามหมด ความสุขที่ได้รับไม่ต้องคิดอะไรมากได้อยู่กับเพื่อนมีความสุข หรือว่าเล่นเป็นเด็กไม่ต้องกังวลเรื่องไร พอโตไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ชีวิตการทำงาน ชีวิตครอบครัว สะท้อนให้เห็นเลยว่าบางทีชีวิตมันไม่ได้ง่ายไปซะทุกอย่าง เหมือนตัวแป้งในเรื่อง ที่เห็นได้ว่าในสังคมตรงนี้ความอบอุ่นหายไป คนที่ไม่ใช่ในครอบครัวจริงอาจไว้ใจไม่ได้ แม้กระทั่งเพื่อนที่โตมาด้วยกันแล้วมาเจอตอนโต หรือเพื่อนที่ดีก็พาไปในทางที่"
รอชมมิตรภาพและความรักที่คงจะเดินควบคู่กันไปอย่างได้งดงามและเมื่อวัน เวลาผ่านไปสักเท่าไร ก็น่าจะเป็นเรื่องราวดีๆ ฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์