เมื่อพูดถึงคำว่า “พรสวรรค์” หลายๆ คน อาจจะคิดว่า เป็นสิ่งที่ฟ้าประทานให้ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และอาจจะคิดต่อไปอีกว่า คงมีคนเพียงแค่หนึ่งในล้านที่จะสามารถสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จากพรสวรรค์แบบนั้นได้ แต่หากได้ฟังเรื่องราวจากปากของคนดัง ที่ต่างวัย หลากหลายความสนใจหลายๆ คน ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจริงของพวกเขาเหล่านั้นแล้ว คุณอาจจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อคำว่า “พรสวรรค์” ไปโดยสิ้นเชิง
เฉกเช่นตัวอย่างคนดังต่างวัยทั้ง 6 คนจาก 6 สาขาอาชีพ ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้พ่อแม่ยุคใหม่ เห็นความสำคัญต่อการสนับสนุนให้ลูกได้ เรียนรู้สิ่งที่เค้ารักอย่างแท้จริง.. ซึ่งถ้าลูกได้เรียนรู้สิ่งที่เค้ารัก เปรียบเสมือน การสร้างพรสวรรค์ให้เค้าผ่านการเรียนรู้ เพราะเมื่อเค้าได้เรียนรู้สิ่งที่รัก เค้าจะมีความสุข สนุกกับการเรียนรู้อย่าง ไร้ขีดจำกัด ต่อยอดสู่ความสำเร็จในอนาคตได้ เช่นเดียวกับเรื่องราวของคนต้นแบบต่อไปนี้ นั่นเอง
เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์
นักฟุตบอลทีมชาติดาวรุ่งกับฉายา ‘เมสซี่เจ’ เล่าว่า เค้าชอบและเริ่มเล่นตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ โดยมีคุณพ่อเป็นคนสอน และเค้าได้มาเล่นอย่างจริงจังในขณะศึกษาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กว่า กลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ในสมัยที่ชนาธิป ยังเล่นฟุตบอลระดับนักเรียน เขาเคยถูกปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญา เพราะรูปร่างเล็กเกินไปไม่เหมาะจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ด้วยความที่เค้ารักในกีฬาชนิดนี้และมีคุณพ่อเป็นกำลังที่สำคัญ เป็นแรงผลักดันและสนับสนุน เพราะคุณพ่อเชื่อมั่นว่าถ้าเจได้ทำในสิ่งที่เค้ารักแล้วจริงๆ ผลลัพธ์มันต้องออกมาดีอย่างแน่นอน ปัจจุบันเค้าเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ค้าแข้งอยู่ที่สโมสรฟุตบอลฮอกไกโดคอนซาโดเลซัปโปโระ ระดับเจลีก ดิวิชั่น 1 โดยเป็นนักเตะที่มีมูลค่าสูงที่สุดในสโมสร และยังสามารถคว้าตำแหน่ง MVP (รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม) ของสโมสรประจำฤดูกาล 2018 ไปครอง โดยได้ผลโหวตเป็นอันดับหนึ่งจากเพื่อนร่วมทีมทั้ง 22 คน และนอกเหนือจากนี้ ชนาธิปยังได้รับการโหวตให้ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งเจลีกในฤดูกาล 2018 อีกด้วย “ผมเชื่อว่าความสำเร็จในวันนี้เกิดจากความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองให้ทำได้ดียิ่งๆ ขึ้นจากสิ่งที่ผมรัก พรสวรรค์ที่ผมสร้างมากับมือ ผมมีความสุขมากครับทุกครั้งที่ผมได้ลงสนาม จนสุดท้ายฟุตบอลก็อยู่ในสายเลือดผมไปแล้ว”
เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์
ผู้กำกับและผู้เขียนบทภาพยนต์ชื่อดังที่กวาดรางวัลบนเวทีนานาชาติมามากมาย รวมทั้งภาพยนต์ที่ติดทำเนียบหนังทำเงินของไทย อาทิ ‘ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ’ และล่าสุดกับสารคดี ‘BNK48: Girls don’t cry’ เป็นต้น เล่าว่า เขาโชคดีที่มีครอบครัวที่ไม่ปิดกั้น ให้เขามีอิสระทางความคิดว่าตัวเองชอบอะไรและสนับสนุนให้เขาได้ทำสิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่เขาทำได้ดีและประสบความสำเร็จอย่างวันนี้ เริ่มต้นมาจากการรู้จักว่า ตัวเองชอบอะไรและเริ่มเรียนรู้ฝึกฝน ตอนเด็กๆ อยากเป็นนักเขียนการ์ตูน แต่แล้วก็ค่อยๆ พบว่าตัวเองวาดรูปไม่เก่ง จนมาค้นพบว่าตัวเองสนใจกับการทำหนังภาพยนตร์ ซึ่งเขาได้เริ่มจากการเรียนรู้และฝึกฝนด้วยการซื้อหนังสือมาอ่าน หัดใช้โปรแกรมตัดต่อ แล้วก็ค่อยๆ หายืมกล้องมาเริ่มหัดถ่ายไป “ผมไม่ได้มีพรสวรรค์หรือเก่งมาแต่เกิดหรอก แต่ผมแค่ได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้ ฝึกฝน และได้รับกำลังใจการสนับสนุนจากครอบครัวตลอดจนสร้างความสำเร็จในสิ่งที่ผมชอบ ผมว่าถ้าอยากจะประสบความสำเร็จแค่ต้องหาให้เจอว่าตัวเองถนัดอะไร พรสวรรค์จริงๆมันอยู่บนโลกนี่แหละ มันไม่ได้อยู่บนสวรรค์ เพราะฉะนั้นมันสร้างได้อยู่แล้ว”
มินนี่-ภูริศา เฮงตระกูลสิน
“ดีไซเนอร์อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย” น้องมินนี่ ภูริศา เฮงตระกูลสิน และเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าในห้างหรู ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกในวัยเพียง 11 ปี เด็กผู้หญิงที่ชื่นชอบการวาดรูป การแต่งตัวตั้งแต่อ่านหนังสือไม่ออก เวลากลับมาจากโรงเรียน หรือว่าก่อนนอน น้องมินนี่จะวาดรูป แล้วก็จะเก็บรวบรวมผลงานของตัวเองไว้ เธอมีความฝันตั้งแต่อายุ 7 ขวบว่า อยากเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าเพื่อให้คนอื่นๆ ใส่ โดยน้องมินนี่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากโคโค่ชาแนล เจ้าแม่แฟชั่นในตำนาน ซึ่งเป็นไอดอลของเธอ วันหนึ่งพอเก็บสะสมผลงานได้พอสมควร น้องมินนี่ ก็นำผลงานทั้งหมดไปบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่า “อยากมีแบรนด์เป็นของตัวเอง” หนูขอทำได้มั้ยคะ? ด้วยความตั้งใจและสนใจของน้องมินนี่ คุณพ่อคุณแม่จึงสนับสนุนทุกอย่าง แม้จะไม่มีโรงเรียนด้านการออกแบบไหนรับน้องมินนี่เข้าเรียนเลย ด้วยเหตุผลที่ว่าน้องเด็กเกินไป เพราะคอร์สเหล่านี้จะรับนักเรียนอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป แต่คุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่หยุดอยู่เท่านี้ ยังคงพยายามเสาะแสวงหา จนได้คุณครูมาสอนอย่างจริงจัง ทั้งสนับสนุนด้วยการหาทีมผลิตและช่วยกันเรียนรู้ด้านการตลาด เมื่อถามคุณแม่ถึงความสามารถด้านดีไซน์ของน้องมินนี่เรียกว่า “พรสวรรค์” ได้หรือไม่นั้น คุณแม่บอกว่า “คุณแม่ไม่รู้ว่าสิ่งที่น้องกำลังทำอยู่นี้เรียกว่า “พรสวรรค์” ได้มั้ย แต่ขอเรียกว่า “ความชอบ” แล้ว “เรียนรู้” ประกอบกับ “ลงมือทำ” อย่างจริงจัง จะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ที่สร้างได้จากการเรียนรู้ก็น่าจะใช้คำนี้ได้”
แพร-ณัฏฐนันท์ สนุ่นรัตน์
เจ้าของฉายา “น้องแพร พาเพลิน” เด็กสาววัย 11 ปี เมคอัพอาร์ทิสต์ตัวน้อยที่มีผู้ติดตามทั้งคนไทยและชาวต่างชาติในเฟซบุ๊คร่วมล้านคน ผู้ก้าวสู่เวทีเมคอัพอาร์ทิสต์ระดับโลก ด้วยจุดเริ่มต้นของความชอบการแต่งหน้า จากเกมแต่งหน้าในโทรศัพท์มือถือที่น้องแพรชอบเล่น และได้ดูคลิปสอนแต่งหน้าบน YouTube อยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่ 5 ขวบ จนวันนึงที่น้องแพรเห็นเครื่องสำอางของจริง เธอเลยคว้าเอาเมคอัพเหล่านั้นมาแต่งหน้าตัวเองตามคลิปดูบ้าง เมื่อแต่งหน้าเล่นไปมาหลายครั้งจนมีความชำนาญมากขึ้น คุณแม่เลยสนับสนุนโดยได้ถ่ายวิดีโอของลูกสาวเอาไว้และนำไปโพสต์ลง YouTube พร้อมกับตั้งชื่อรายการว่า "น้องแพรพาเพลิน" หลังจากนั้นน้องแพรก็ได้อัดคลิปแต่งหน้าด้วยเอง และโพสต์ลงช่อง YouTube อย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยคำพูดที่น่ารักฉะฉานเกินวัย จึงทำให้มีคนแชร์คลิปนี้ออกไปมากมาย แม้จะมีเสียงวิจารณ์ในทางที่ไม่ดีอยู่บ้าง ว่า “เป็นเด็กแก่แดด” แต่คุณแม่ยังคงให้กำลังและสนับสนุน เพราะมันคือสิ่งที่น้องชอบจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นคุณแม่ยังส่งเสริมให้น้องแพรได้เข้าเรียนการแต่งหน้าอย่างจริงจัง รวมทั้งส่งน้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เพื่อจะได้นำมาปรับใช้ในอนาคตอีกด้วย
นั่นคือจุดเริ่มต้นซึ่งทำให้น้องแพรเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จนในที่สุดเมคอัพอาร์ทิสต์ตัวน้อย ก็ได้มีโอกาสได้ไปโชว์ฝีมือไกลถึงต่างประเทศ ในงาน London Fashion Week 2018 และยังมีงานแต่งหน้า มีรายได้จากสิ่งที่น้องชอบทำตั้งแต่อายุยังน้อย “เราเชื่อว่านี่คือความฝันของเรา เราจึงได้ตั้งใจเรียนรู้พัฒนาฝีมืออยู่ตลอด แพรเชื่อว่าการเป็นตัวของตัวเองและทำในสิ่งที่เรารักเป็นสิ่งสำคัญ อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง อย่าหยุดอยู่กับที่ ถ้าความฝันของเรายังชัดเจน”
บอย โกสิยพงษ์
จากเด็กโข่งหัวทึบของชั้นเรียน สู่นักแต่งเพลงระดับท้อปเนมที่ประสบความสำเร็จของเมืองไทย มีเพลงดังมากมาย กับเนื้อเพลงที่กินใจ สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนนับล้าน ผู้บริหารค่ายเพลงเลิฟอีสท่านนี้ เล่าว่า ตอนเด็กๆ เค้าคือเด็กโข่งที่เรียนรั้งท้ายของห้องมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง ตอนนั้นผมอยู่ ม.3 อธิการมาบอกว่าทางโรงเรียนจะต้องเชิญให้ออกจากโรงเรียน เพราะว่าคะแนนเฉลี่ยของผมมันอยู่ที่ 1.04 ฉะนั้นจะเรียนต่อ ม.4 ไม่ได้ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าผมไม่มีความสามารถทางการเรียน
“ความจริงผมไม่ใช่คนเกเรเลย ตั้งใจท่องหนังสือ แต่มันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องถึงขนาดที่ว่ากำลังจะเข้าห้องสอบ ผมต้องเอาตามามองมัน เผื่อบทเรียนในหนังสือมันจะจำเข้าไปในตาผม ผมโคตรพยายาม แต่มันก็ทำไม่ได้ งั้นโอเค ออกก็ออก แม่ผมบอกว่าโรงเรียนนี้น่าจะไม่เหมาะ เขาน่าจะสอนไม่เก่ง เดี๋ยวไปหาโรงเรียนที่มันเหมาะกับบอยดีกว่านะ”
ตอนนั้นยังไม่รู้ไง โรงเรียนบอกให้เราเลือกเรียนแค่วิทย์กับศิลป์ แต่ความจริงแล้วความถนัดของคนมันสามารถแบ่งได้มากกว่านั้น โชคดีว่าแม่ผมเขาเข้าใจผม ก็เลยได้ค้นพบสิ่งที่เหมาะกับผม จุดพลิกผันครั้งสำคัญในชีวิตก็เกิดขึ้น เมื่อผมตัดสินใจที่จะเหินฟ้าไปเรียนต่อทางด้านสาขาดนตรีที่มหาวิทยาลัย UCLA ช่วงเวลานั้นเองที่ตัวเองได้ค้นพบทิศทางที่เหมาะสมในชีวิต จนได้มาลองแต่งเพลง ผมได้เรียนรู้ ฝึกฝน ในสิ่งที่ผมรักผมรู้สึกสนุกกับมันมาก สนุกจนหยุดคิดเรื่องแต่งเพลงไม่ได้เลย ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไร ใจมันคอยคิดว่าจะเอาสิ่งที่เราพบเห็นไปแต่งเป็นเพลงได้ในมุมไหนบ้าง นั่นคือสิ่งทำให้รู้ว่านี่คือสิ่งที่เรารักแน่ๆ ทำให้เราพยายามเรียนรู้จากคนอื่น จากทุกๆ แหล่งเท่าที่จะมีทางหาความรู้ได้ พอเรารักในสิ่งเราทำแล้ว ทุกอย่างมันง่ายไปหมด เพราะเราอยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจ เหมือนที่พ่อผมเคยบอกไว้ “หัวใจเราอยู่ที่ไหน ทรัพย์สมบัติเราก็อยู่ที่นั่น” และจากประสบการณ์ตรงของคุณบอยนี่เอง ทำให้เมื่อคุณบอยเป็นพ่อคน ที่ต้องดูแลเลี้ยงลูกๆ คุณบอยจึง เลี้ยงเค้าอย่างใกล้ชิด โดยการสังเกตุว่า ลูกๆ สนใจและถนัดอะไร และให้การสนับสนุนเค้าให้เรียนรู้สิ่งที่เค้ารักอย่างแท้จริง
เฟิร์ส-ธนภัทร สุยาว
น้องเฟิร์ส เชฟหนุ่มจากเมืองน่าน ผู้ชนะที่อายุน้อยที่สุดจากรายการ MasterChef Thailand ซีซั่น 2 เล่าว่า เฟิสช่วยคุณแม่ทำอาหารตั้งแต่เด็ก และคิดว่าการทำอาหารสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ จนผมเริ่มชอบการทำอาหารจริงๆ จัง ๆ ตอนช่วงมัธยมปลาย ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องทำอาหารทานเองอยู่บ่อยๆ เวลาดูรายการทำอาหาร ผมจะรู้สึกสนุก และสนใจเป็นพิเศษ จนทำให้เราอยากที่จะเรียนรู้ในการทำอาหารให้ดียิ่งขึ้น แต่ด้วยความที่ผมโตมากับการเป็นนักกีฬา ในช่วงแรกที่เราบอกครอบครัวว่าอยากจะเปลี่ยนเป็นเชฟเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก แต่โชคดีที่ครอบครัวผมเข้าใจ และเป็นกำลังใจสนับสนุนให้เราทำในสิ่งที่รัก ผมเลยได้โอกาสได้เดินทางสายนี้ “สำหรับผมการเรียนรู้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาตัวเอง ตั้งแต่การพัฒนาความคิด ไปจนถึงความสามารถในการทำ ผมเชื่อว่าถ้ายิ่งเราได้เรียนรู้ และลงมือทำให้สิ่งที่รัก ผลงานที่ได้จะออกมาดูดี และแสดงความเป็นตัวตนของเราได้ดีที่สุด”
จากการที่เชฟหนุ่มน่านคนนี้ ถนัดในเรื่องการทำอาหารที่ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป รวมถึงทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีโดยจะเห็นได้ว่า เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการแข่งขัน เขามักจะมีวิธีรับมือเสมอ และสิ่งนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นสุดยอดมาสเตอร์เชฟคนที่สองของประเทศไทย.. ด้วยการที่ได้ทำสิ่งที่รัก เรียนรู้ฝึกฝนอยู่เสมอ จนเกิดทักษะความสามารถในการแก้ปัญหา พร้อมกับมีความคิดสร้างสรรค์ จึงมั่นใจได้ว่า เชฟหนุ่มคนนี้ จะมีอนาคตที่สดใสในเส้นทางสู่การเป็นเชฟมืออาชีพที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน
จากเรื่องจริงของเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจ ที่เปลี่ยนนิยามของคำว่า “พรสวรรค์” ที่ไม่ใช่เพียงแค่ฟ้าประทานมาให้เท่านั้น แต่การได้เรียนรู้สิ่งที่รักต่างหาก ที่สามารถสร้างเป็นพรสวรรค์สู่ความสำเร็จของแต่ละคนได้ ซึ่งตรงกับแนวคิดของแบรนด์ S-26 Gold Progress ที่ว่า “เรียนรู้สิ่งที่รัก เพื่อพรสวรรค์ในแบบของเค้า” ต่อเนื่องกับแคมเปญโฆษณา “ล้านคน ล้านพรสวรรค์” โดยทางแบรนด์ S-26 Gold Progress ต้องการสื่อสารถึงคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ให้ใส่ใจ สังเกตสิ่งที่ลูกสนใจ ค้นหาความถนัด แล้วสนับสนุนให้เค้าได้เรียนรู้สิ่งที่เค้ารักอย่างแท้จริง เพราะเมื่อเค้าได้ทำสิ่งที่เค้ารัก เค้าจะมีความสุข สนุกกับการเรียนรู้อย่างไร้ขีดจำกัด จนเกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่ยืดหยุน สามารถปรับใช้ได้กับโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่ไม่แน่นอนในอีก 20-30 ปี ได้เป็นอย่างดี