ข่าว > ข่าวดาราทั้งหมด > ข่าวดาราเทศ

เปิดใจ ปีเตอร์ แจ็คสัน และทีมนักแสดง กว่าจะเป็น THE HOBBIT: THE BATTLE OF THE FIVE ARMIES

4 ส.ค. 2557 09:23 น. | เปิดอ่าน 1519 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

                        ไม่ต้องสงสัยว่า The Hobbit : The Battle of the Five Armies ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน ผู้กำกับฯ ดีกรีรางวัลออสการ์ เป็นหนังที่ผู้คนจำนวนมากตั้งตารอคอยในช่วงปลายปีนี้ นี่เป็นหนังภาคที่ 3 จากไตรภาคที่ดัดแปลงจาก The Hobbit ผลงานวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมของ เจ.อาร์.อาร์ โทลคีน นี่จะเป็นบทสรุปมหากาพย์การผจญภัยของ บิลโบ แบ็กกิ้นส์, ธอริน โอเคนชิลด์ และเหล่าสหายคนแคระ ซึ่งต้องการทวงบ้านเกิดคืนจากมังกรร้ายนามว่าสม็อก แต่กลับปลดปล่อยพลังชั่วร้ายออกมาสู่มัชฌิมโลกอย่างไม่เจตนา และมีอันตรายที่ร้ายแรงกว่ารออยู่ภายภาคหน้าในขณะที่ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เผ่าพันธุ์คนแคระ เอลฟ์ และมนุษย์ ต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกันหรือไม่ก็ถูกทำลายสิ้นไป ขณะที่อนาคตของมัชฌิมโลกแขวนอยู่บนเส้นด้าย
 

                       ในงานคอมมิค-คอน 2014 ที่เมืองซาน ดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ปีเตอร์ แจ็คสัน ผู้กำกับฯ ได้นำทีมนักแสดงจาก The Hobbit : The Battle of the Five Armies ไม่ว่าจะเป็น เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์, แอนดี้ เซอร์คิส, อีแวนเจไลน์ ลิลลี่, เคท แบลนเชตต์ และ ออร์แลนโด บลูม มาเปิดตัวและแถลงข่าวเพื่อเตรียมตัวก่อนที่หนังจะเข้าฉายในเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งพวกเขาพูดถึงพัฒนาการของหนังจากภาคแรกจนมาถึงภาคนี้ การแสดงและให้เสียงเป็นสม็อกกับกอลลัม การสร้างตัวละครอย่างทอเรียล ซึ่งไม่มีอยู่ในหนังสือ ประสบการณ์ของการกลับไปเยี่ยมตัวละครจาก The Lord of the Rings ไตรภาค และพวกเขาคิดว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่หนังเหล่านี้จะถูกนำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง

                        แต่ประเด็นแรกที่มีการพูดถึงคือชื่อเรื่อง เนื่องจากเดิมทีภาคนี้จะใช้ชื่อว่า The Hobbit : There and Back Again ก่อนที่จะประกาศเปลี่ยนชื่อภาคเป็น The Battle of the Five Armies เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง อย่างไรก็ตาม แจ็คสัน เปิดเผยว่าเขาแทบไม่ได้พิจารณาชื่ออื่นเลยก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นชื่อนี้ ''การเปลี่ยนชื่อเกิดขึ้นตอนเราประชุมเกี่ยวกับภาค 3 เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่เราตัดต่อภาค 2 เราก็ใส่เวอร์ชั่นหนึ่งของภาค 3 เข้าไปด้วย เพื่อให้เรามองภาพหยาบๆ ของมันได้ และพอผมดูมันเมื่อปีที่แล้วก็รู้เลยว่ามันจะต้องชื่อ The Battle of the Five Armies นั่นเป็นชื่อที่เหมาะสม ดังนั้นตอนเราไปโปรโมต The Desolation of Smaug ที่เบอร์ลิน ผมดึงคนของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส มาข้างๆ และบอกว่า ฟังนะ เราไม่ต้องหารือกันตอนนี้ แต่พอคุณเห็นหนัง ซึ่งผมจะให้คุณดูเมื่อผมตัดต่อได้เรียบร้อยพอควรในอีก 2-3 เดือน ผมแค่เตือนคุณก่อนว่าผมจะเปลี่ยนชื่อเป็น The Battle of the Five Armies และพอพวกเขาได้ดูหนังก็รู้สึกเห็นด้วย ไม่มีการถกเถียงกันเลย ชื่อ There and Back Again ได้ผลตอนหนังมี 2 ภาค แต่ตอนนี้มี 3''

 

 

                      ในลำดับต่อไป แจ็คสัน ได้พูดให้ฟังถึงพัฒนาการของโทนเรื่องจากภาค An Unexpected Journey และ The Desolation of Smaug มาจนถึง The Battle of the Five Armies ว่า ''พัฒนาการของโทนเรื่องจาก Hobbit ภาคแรกมาจนถึงภาคนี้เป็นสิ่งที่คุณคาดหวังให้เป็น มันเป็นสิ่งที่คุณคาดการณ์ได้จากการดู 2 ภาคแรก มันเริ่มต้นที่จุดหนึ่งของความไร้เดียงสา และสิ่งต่างๆ เริ่มมืดหม่นขึ้นเรื่อยๆ น็อตเริ่มขันแน่นขึ้น ตอนที่เราทำหนังภาคนี้เสร็จ ซึ่งเป็นภาคที่ตึงเครียดและสะเทือนอารมณ์มากที่สุดจากทั้ง 3 ภาค ผมคิดว่านี่เป็นภาคโปรดที่สุดของผม พูดตามตรง ผมไม่ได้แค่พูดไปอย่างงั้น มันมีระยะความตื่นเต้นที่ดี พอคุณไปจนถึงตอนจบ ผมคิดว่ามันจะเป็นความรู้สึกว่าถึงเวลาส่งต่อมันให้กับ The Fellowship of the Ring มันจะรู้สึกเหมือนมันไปต่อกับการเดินทางนั้น ผมตระหนักเสมอว่านี่เป็นเซตของหนัง 6 เรื่อง สักวันหนึ่งนับจากจุดนี้ ทั้งหมดนี้จะถูกมองเป็นหนังชุดที่มี 6 ตอน นั่นคือสิ่งที่คนรุ่นต่อไปจะมองพวกมัน

                      สิ่งที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นใน The Hobbit หรือ The Lord of the Rings คือการแสดงผ่านเทคโนโลยีโมชันแคปเจอร์ที่โดดเด่น ตั้งแต่กอลลัม จนมาถึงมังกรสม็อก นักแสดงทั้ง 2 คนต้องฝึกฝนพอสมควรกว่าจะแสดงและให้เสียงกับตัวละครของพวกเขาได้อย่างสมบทบาท โดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ ผู้รับบทเป็นสม็อก กล่าวว่า ''ต้องมีการฝึกซ้อมในระดับหนึ่ง ผมมีเครื่องปรุงพร้อมเสมออยู่แล้ว จุดที่เราเริ่มต้น กับโมชันแคปเจอร์และกระบวนการแรก จนถึงกระบวนการหลังผลิตและเอดีอาร์ ผมทำมันโดยไม่มีการปรับอะไรเลย มันต้องใช้พลังมาก มันหมายถึงการให้ชีวิตกับมัน มีทั้งการวอร์มอัพและวอร์มดาวน์ และพักเงียบๆ ระหว่างนั้น''

                      ทางด้าน แอนดี้ เซอร์คิส ผู้รับบทเป็นกอลลัม กล่าวว่า ''หนึ่งในอุปกรณ์ที่เราค้นพบตลอดเส้นทางคือการสร้างขนาดของตัวละครด้วยการใส่มันผ่านลำโพง และให้สามารถปรับขึ้นหรือลดโทนของตัวละครได้ มันเป็นประโยชน์มากสำหรับตัวละครอย่างสม็อกและคิงคอง เพื่อจะสร้างสัมผัสของขนาดพลังและศักยภาพของปอด ถ้าคุณเล่นเป็นมังกรตัวยาว 150 ฟุต หรือกอริลล่าสูง 25 ฟุต มันยากมากที่จะถ่ายทอดพลังของตัวละครถ้าคุณใช้แต่พลังเสียงของคุณเอง การหายใจก็เป็นส่วนสำคัญมากในการทำตัวละครให้น่าเชื่อถือ''

                      คัมเบอร์แบตช์ ยังยอมรับว่าการแสดงเป็นสม็อกในภาค The Desolation of Smaug นั้นเหมือนเป็นแค่การวอร์มอัพเท่านั้น และจะมาปลดปล่อยเต็มที่กับ The Battle of the Five Armies แถมยังพูดหยอดเป็นการยั่วน้ำลายให้ยิ่งอยากรู้ด้วย ''ผมต้องถลาลงไป และสิ่งที่ผมทำหาได้ง่ายมากตามชั้นหนังสือทั่วโลก แต่ผมจะไม่บอกว่ามันคืออะไร มันยอดเยี่ยมที่มีส่วนต่อไปของการเดินทางนั้น มันเป็นจุดจบที่เย็นยะเยือกอย่างยอดเยี่ยมของหนังเรื่องสุดท้าย''

                     ต้องยอมรับว่าฉากการทำสงครามใน The Return of the King นั้น ปีเตอร์ แจ็คสัน ทำไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้กดดันกับการสร้างฉากห้ำหั่นระหว่างกองทัพใน The Battle of the Five Armies ''กับสิ่งนี้ เรื่องราวของตัวละครทุกตัวกำลังพัฒนาไปตลอดทาง พอพวกเขาเข้าสู่ศึกการต่อสู้ เรื่องราวก็พัฒนาไปด้วย สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นทางกลางศึกสงครามที่เปลี่ยนแปลงเรื่องราวของตัวละคร และมีอะไรมากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็นการที่พวกเขานั่งล้อมวงกินอาหารหรือพวกเขาร่วมทำศึกกัน มันก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ทั้งเรื่องจะค่อนข้างตึงเครียด มันยังให้ความรู้สึกลุ้นระทึก มันจะเป็นศึกที่ตึงเครียดมาก ในการทำศึก คุณสามารถกำจัดคนออกไปคนสองคน และพระเจ้ารู้ มีพวกเขาบางคนที่จำเป็นต้องถูกกำจัดออกไป เราจึงอาจให้ตัวละครตายในหนัง เราสามารถสร้างอารมณ์แบบที่เราไม่เคยเห็นใน The Hobbit มาก่อน''

                    แจ็คสัน ยังได้อธิบายถึงการสร้างตัวละครทอเรียล ของ อีแวนเจไลน์ ลิลลี่ ขึ้นมาทั้งที่ไม่มีในหนังสือ ว่า ''การสร้างทอเรียลเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์มาก มันไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรนัก ในหนังสือ The Hobbit เรื่องราวผ่านอาณาจักรวู้ดแลนด์ และพวกเขาหนีไปในศึก โทลคีนเขียนเกี่ยวกับพระราชาวู้ดแลนด์ แต่เขาไม่ได้บอกชื่อพระองค์ด้วยซ้ำ เพราะไม่มีเรื่องราวจริงๆ ในนั้น มันเป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ตลอดทางที่เราพัฒนาบทของเรา เราต้องการพัฒนาเรื่องราวของเอลฟ์ เรื่องราวใดๆ ก็ตามต้องมี 3 ตัวละคร คุณสร้างเรื่องไม่ได้ด้วย 2 ตัวละคร ดังนั้นเรามี ธรันดูอิล เป็นพระราชาของวู้ดแลนด์ และเรารู้ว่าเขามีบุตรชื่อ เลโกลัส จากนั้นเราจำเป็นต้องมีตัวที่ 3 มันเป็นการตัดสินใจอย่างรอบคอบที่เลือกตัวละครผู้หญิง เนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากมายในผู้หญิงภายในลำดับชั้นของเอลฟ์ เราแค่ต้องการผู้หญิงเก่งๆ สักคน นั่นคือสาเหตุ''

                    ทางด้าน ลิลลี่ กล่าวถึงความรู้สึกของการแสดงเป็นตัวละครที่ไม่มีอยู่ในหนังสือดั้งเดิมว่า ''นอกจากเรื่องที่ว่าแฟนๆ อาจกินฉันเป็นมื้อเที่ยงแล้ว ฉันก็คิดว่าฉันโชคดี ไม่มีใครมีภาพอยู่ในหัวมาก่อนว่าฉันจะต้องดูเป็นอย่างไรหรือทำท่าทางอย่างไร ไม่มีใครอื่นนอกจาก ปีเตอร์ แจ็คสัน, ฟราน วอลช์ และ ฟิลิปป้า โบเยนส์ ที่บอกฉันได้ว่าทอเรียลควรเป็นอย่างไร ฉันเห็นใจ มาร์ติน (ฟรีแมน) ตอนฉันรู้ว่าเขาได้รับเลือก เขาเป็นตัวแสดงที่สมบูรณ์แบบ แต่เขาจะรอดจากการเล่นเป็นบิลโบได้อย่างไร แต่เราต้องสร้างความแตกต่างให้ชัดเจนกับทอเรียล เธอเป็นเอลฟ์ชนชั้นล่างในวู้ดแลนด์ ไม่เหมือนเอลฟ์สูงศักดิ์ที่คุณเห็นใน The Lord of the Rings ฉันจึงไม่กลับไปดู The Lord of the Rings อีกรอบ เพราะถ้าฉันทำ ฉันอาจตรึงใจไปกับการแสดงของ เคท แบลนเชตต์ ในไตรภาคนั้นและจะพยายามเลียนแบบเธอ เราต้องสร้างเอกลักษณ์ให้กับนักรบหญิงเอลฟ์แห่งวู้ดแลนด์''

                     นักแสดงบางคนต้องกลับมารับบทเป็นตัวละครเดิมของพวกเขาจาก The Lord of the Rings ไตรภาค แน่นอนว่ามันย่อมมีความท้าทาย อย่าง ออร์แลนโด บลูม ผู้รับบท เลโกลัส กล่าวว่า ''หนึ่งในเรื่องที่ผมคุยกับ ปีเตอร์ และ ฟราน คือจะทำ เลโกลัส ใน The Hobbit ให้สมเหตุสมผลอย่างไร เพราะ เลโกลัส ไม่ได้อยู่ในเรื่องของ The Hobbit ในหนังสือ เราสามารถย้อนกลับไปและสร้างปูมหลังให้กับเลโกลัส ซึ่งโผล่มาใน The Fellowship of the Ring พวกเขาคิดแบบนั้น ดังนั้นคุณจะเห็นในตอนท้ายว่ามันเป็นเรื่องราวเชื่อมทั้ง 6 ภาค''

                     ส่วน เคท แบลนเชตต์ ผู้รับบท เลดี้ กาลาเดรียล กล่าวว่า ''คุณได้รับความมั่นใจและฐานแฟนๆ ของหนัง บางส่วนเป็นแฟนดั้งเดิมของหนังสือ แต่บางคนเป็นแฟนของสิ่งที่ทีมนี้ได้ทำมา และสิ่งที่ฉันคิดว่ายอดเยี่ยมเกี่ยวกับสิ่งที่ The Hobbit ประสบความสำเร็จคือมีงานเขียนที่ยอดเยี่ยมมากมาย แต่คุณสร้างมันเป็นหนังแล้วทำให้มันคงอยู่ด้วยตัวเองได้ มีนวัตกรรมมากใน The Hobbit และมันโอบรัดด้วยความจริงว่านี่เป็นเรื่องราวแรกสุดของตัวละครเหล่านี้และในโลกนี้ งานสร้างสรรค์ที่ ฟราน กับ ฟิลิปป้า และ ปีเตอร์ ทำนั้นมันน่าตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ ถ้ามองในฐานะผู้ชมคนหนึ่ง''

ขอบคุณข่าวจาก :: http://www.siamdara.com/

: The Hobbit: The Battle of the Five Armies

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • "ช่อง MONO29" ชวนผจญภัยข้ามปีในมิดเดิ้ลเอิร์ธ ปล่อยแพ็คหนัง "The Hobbit" ต่อเนื่องสามวันสามภาค
  • “THE HOBBIT: THE BATTLE OF THE FIVE ARMIES” ยังคงเดินหน้ากวาดรายได้ทั่วโลกไปแล้ว 550 ล้านเหรียญ
  • มาแล้ว Wallpapers จากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์สุดอลังการเรื่อง The Hobbit: The Battle of the Five Armies
  • เกร็ดหนังดี เกร็ดน่ารู้ก่อนดู The Hobbit: The Battle of the Five Armies
  • คำลาครั้งสุดท้าย การรวมตัวครั้งสุดท้าย “The Hobbit: The Battle of the Five Armies”
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :