เจอกระแสวิจารณ์ค่อนข้างหนัก โดยเฉพาะในเรื่องของโปรดักชั่น สำหรับภาพยนตร์ "777 นะชาลีติ (พระสีวลี)" ภาพยนตร์อิงธรรมะอนุพุทธประวัติ ที่ยกเอาเรื่องราวของ พระสีวลีเถระ หรือ พระสีวลี มาถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มเป็นครั้งแรก โดย ครูมิ้งค์-เพ็ญจันทร์ วงศ์สมเพ็ชร ซึ่งรับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับการแสดง เปิดเผยว่าเตรียมใจไว้บ้างแล้วกับคำวิจารณ์ที่จะเกิดขึ้น แต่อยากให้มองที่จุดประสงค์ในการทำหนังเรื่องนี้มากกว่า
"ตัวพี่เองชอบทำงานบุญ พอคุณป๊อบ ผู้อำนวยการสร้าง ภาพยนตร์ 777 นะชาลีติ(พระสีวลี)มาคุยว่าอยากทำหนังเกี่ยวกับศาสนา อยากทำประวัติพระสีวลี เราก็บอกไปว่าค่อนข้างยากนะ พอเป็นหนังคนจะไม่ดู เพราะมันเป็นประวัติ ทำเป็นละครไหม แต่แกก็ยืนยันว่าอยากทำเป็นหนัง ต่อไปจะนำไปเผยแพร่กับเด็กๆ ซึ่งสำหรับเราเองถ้าเป็นหนังอิงพุทธประวัติเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ส่วนใหญ่ที่เคยทำมาจะเป็นบทที่เราแต่งใหม่ แต่จะสอดแทรกธรรมะเข้าไปตลอด ตัวพี่เองตั้งใจว่าจะทำหนังอิงธรรมะปีละเรื่อง
มีคนยกให้เราเป็นผู้กำกับสายบุญ จริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือไม่นะ แต่มันเป็นสิ่งที่เราชอบ แล้วจริง ๆ เราไม่ได้มุ่งหวังในการเป็นผู้กำกับ แต่ชอบที่จะเป็นแอ็คติ้งโค้ชมากกว่า ชอบที่จะเขียนบท แต่พอทำงานบุญบางครั้งก็ทำฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย บางครั้งก็ต้องวิ่งหาค่าใช้จ่ายด้วยซ้ำ ซึ่งพอทำแล้วไม่ได้เงินก็ไม่มีใครอยากทำ พอหาคนทำไม่ได้เราก็เลยโดดมาทำเอง ตัวเราก็เคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับมานาน อย่างเรื่อง 777 นะชาลีติ ก็ยอมรับว่าเป็นหนังที่เรามีงบประมาณน้อย เราไม่สามารถถ่ายทำให้เป็นภาพยนตร์ ต้องถ่ายทำให้ทรงเป็นละคร วางไลน์กล้องให้มันไม่ซ้ำซ้อนมาก วางบล็อกกิ้งนักแสดงให้มันไม่ซับซ้อน แอ็คติ้งจะมาเคี่ยวเข็ญให้นักแสดงเล่นเป็นหนังเลยมันก็ลำบาก
ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง เราก็เอาให้มันอยู่ตรงกลางทำให้มันเป็นซีรีส์ มีมุมมองถ่ายภาพแบบหนัง การแสดงยังคงเป็นเหมือนละคร ภาพมันก็เลยค่อนข้างออกมาเหมือนละคร แต่เราคิดว่าเราทำให้คนดูส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาของหนัง ก็ไม่อยากให้มันซับซ้อน แต่เราก็รู้นะว่าการทำงานแบบนี้อาจจะไม่แฮปปี้สำหรับคนทำหนัง เพราะว่าคุณทำออกมาได้แค่นี้เหรอ แล้วอย่านี้เรียกว่าภาพยนตร์เหรอ แต่เราต้องเข้าใจจุดประสงค์เราก่อน เราต้องการให้เด็กและเยาวชนได้ดู ดูแล้วอย่างน้อยให้มีจริยะธรรม แล้วรู้ถึงประวัติของท่าน เพราะฉะนั้นสำหรับเด็กมันต้องเป็นอะไรที่ดูแล้วเข้าใจง่าย ๆ
เรื่องกระแสดราม่าหรือคำวิจารณ์ต่าง ๆ เราก็มีเตรียมตั้งรับไว้บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของโปรดักชั่นด้วยคนโปรดักชั่นจะไม่ฟังเราอย่าว่างบน้อยหรืออะไร ก็อาจจะมีคำถามว่างบน้อยแล้วทำทำไม มันคนละความหมายกัน เราทำเพื่อเผยแผ่ เราก็เลยไม่แคร์คำวิจารณ์ เราอยากใช้ความรู้ความสามารถที่มีช่วยงานศาสนาไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้นเราก็เข้าใจอยู่แล้วว่าต้องถูกวิจารณ์ ซึ่งเราก็ไม่แคร์ พระพุทธเจ้ายังเดินให้คนด่าเป็นกิโลได้เลย เราจะผ่านไปไม่ได้เหรอ เราอยากให้มองในเรื่องเจตนาในการนำเสนอมากกว่า แต่เราจะไปบังคับให้คนทั้งหมดมองแบบที่เรามองก็คงไม่ได้ แต่เรารู้ว่าเราทำอะไร เพราะฉะนั้นในสิ่งที่มันจะกระทบบ้างเล็กน้อยก็ช่างมันเหอะ ขอแค่มีสักคนที่ดูหนังแล้ว รู้สึกไม่อยากทำบาป กลัวในเรื่องของเวรกรรม แค่นี้เราก็ประสบความสำเร็จแล้ว"