บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เร่งเครื่องเดินหน้าบูรณาการร่วมกับพันธมิตรขยายช่องทางการขายบัตรชมภาพยนตร์ เอาใจลูกค้ายุคดิจิทัล พร้อมมั่นใจภาพยนตร์ Content Product แข็งแรง จะช่วยส่งเสริมยอดรายได้เติบโตตามเป้า
คุณสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทาง เอส เอฟ มุ่งขยายรายได้ด้วยการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ โดยลงทุนระบบไอทีกว่า 100 ล้านบาท พัฒนาขีดความสามารถในการเข้าถึงลูกค้าด้วยการขยาย Bandwidth ของระบบหลังบ้าน รวมถึงปรับปรุงแอปพลิเคชั่น SF Cinema และเว็บไซต์ เพื่อการบริการ Online Ticketing ให้มีความทันสมัย ลื่นไหล สะดวกสบาย และรวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งยังได้พันธมิตรที่มาร่วมเพิ่มช่องทางการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ของ เอส เอฟ ได้แก่ KBANK, SCB, AIRPAY และ BLUEPAY ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อบัตรชมภาพยนตร์ได้ล่วงหน้าก่อนที่จะเดินทางมาถึงหน้าโรงภาพยนตร์
สำหรับการบริการที่หน้าโรงภาพยนตร์ เอส เอฟ ได้เพิ่มเทคโนโลยีการขายบัตรชมภาพยนตร์ผ่านตู้ Kiosk Express Ticketing by GSB ของธนาคารออมสิน ต่างหากออกจากหน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วปกติ ทำให้เวลาที่จะใช้ในการซื้อบัตรชมภาพยนตร์รวดเร็วและสะดวกสบายขึ้น ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคอหนังยุคดิจิทัล
อีกทั้งพันธมิตรทั้งหมดของ เอส เอฟ ยังได้มอบสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นต่าง ๆ ให้กับลูกค้าของ เอส เอฟ อย่างคุ้มค่า เพื่อการตอบรับกระแสสังคมไร้เงินสด Cashless Society โดยช่องทางการจำหน่ายบัตรที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สามารถรับชำระได้ทั้ง Credit Card และ Debit Card นอกจากนี้ เอส เอฟ ยังออกบัตรสมาชิก เอส เอฟ มูฟวี่ คลับ คาร์ด ซึ่งเป็นบัตรแทนเงินสดสำหรับซื้อบัตรชมภาพยนตร์ ป๊อปคอร์นและเครื่องดื่ม และยังสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าที่มาใช้บริการ เพื่อทำการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค (Data Analysis) เพื่อนำไปสู่การนำเสนอแคมเปญต่างๆ ที่ตอบโจทย์การชมภาพยนตร์ของลูกค้าประจำในทุกกลุ่ม ทุกวัย
คุณสุวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ เอส เอฟ มีแผนการลงทุนเปิดเพิ่มรวมทั้งหมด 6 สาขาด้วยกัน โดยประเดิมเปิดไปแล้ว 1 สาขาเมื่อต้นปีนั่นคือ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ ซีเนม่า สาขาท็อปส์ พลาซ่า พะเยา สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง เอส เอฟ ยังมีโครงการขยายสาขาเพิ่มเติม อีก 5 สาขา โดยยังคงเป็นการผนึกกำลังไปกับศูนย์การค้าชั้นนำซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ชลบุรี, บิ๊กซี สระแก้ว, บิ๊กซี สมุทรสงคราม, บิ๊กซี เพชรเกษม และเทอร์มินอล 21 พัทยา รวมทั้งมีแผนปรับปรุงโรงภาพยนตร์สาขาเดิม เพื่อให้มีความสวยงาม ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ เอส เอฟ ยังเดินหน้าพัฒนาโรงภาพยนตร์รูปแบบพิเศษอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากประเภทโรงภาพยนตร์ที่มีอยู่แล้ว อันได้แก่ First Class Cinema, Happiness Screen, MX4D และอี่น ๆ โดยในปีนี้จะนำเสนอโรงภาพยนตร์ Zigma CineStadium ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์แห่งอนาคตสุดล้ำที่สมบูรณ์แบบครบมิติทุกความบันเทิง ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การชมภาพยนตร์ของลูกค้าทุกกลุ่ม ให้ผู้ชมได้ตื่นตาตื่นใจกับ Giant Screen จอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่สุด รองรับการฉายด้วยเครื่องฉายภาพยนตร์ Digital 4K Laser Technology ซึ่งให้ภาพคมชัดสูงสุดเหนือกว่าทุกระบบ ระบบเสียง Dolby ATMOS กระหึ่มรอบทิศทาง มาพร้อมที่นั่งกว้างขวางแบบ Super Stadium ซึ่งเพิ่มระยะห่างของที่นั่งให้ลูกค้าได้รับชมภาพยนตร์อย่างเต็มอรรถรส เพื่อสร้างประสบการณ์ความบันเทิงอย่างไม่หยุดยั้งให้แก่ผู้ชมภาพยนตร์
สำหรับปี 2561 เอส เอฟ ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 5,000 ล้านบาท กำไร 337 ล้านบาท สูงกว่าปี 2560 ถึง 20% ซึ่งนอกจากปัจจัยส่งเสริมจากการขยายช่องทางจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์แล้ว อีกปัจจัยที่จะช่วยผลักดันให้รายได้ของ เอส เอฟ เป็นไปตามเป้าเพิ่มเติม จะมาจากภาพยนตร์ ซึ่งปีนี้มีภาพยนตร์ Mega Blockbuster ที่ทำรายได้ถล่มทลาย อาทิ Black Panther, Avengers: Infinity War, Deadpool 2 รวมทั้งภาพยนตร์ไทย น้อง.พี่.ที่รัก ส่วนภาพยนตร์ที่กำลังเข้าฉายและกวาดรายได้อยู่ขณะนี้นั่นคือ Jurassic World: Fallen Kingdom และในครึ่งปีหลัง ยังมีภาพยนตร์ดังอย่าง Ant-Man and the Wasp, Mission: Impossible - Fallout, Venom, Aquaman, Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald, Bumblebee ที่รอจ่อคิวกวาดรายได้ให้กับธุรกิจภาพยนตร์
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2560 เอส เอฟ ประสบความสำเร็จตามเป้าที่วางไว้ บริษัทฯ มียอดรายได้รวมกว่า 4,200 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิกว่า 180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2559 ทั้งนี้ มีสัดส่วนรายได้มาจากโรงภาพยนตร์ 2,700 ล้านบาท เติบโต 3% รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม 775 ล้านบาท เติบโต 12% ส่วนงานธุรกิจสื่อโฆษณา 430 ล้านบาท เติบโต 28% และส่วนงานอื่น 300 ล้านบาท เติบโต 4% สำหรับปี 2560 มีภาพยนตร์จำนวนมากที่เป็นปัจจัยผลักดันรายได้ของบริษัทฯ อาทิ Fast and Furious 8, Spider-Man: Homecoming, Thor: Ragnarok, Transformer: The Last Knight, Justice League รวมถึงภาพยนตร์ไทยที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่าง ฉลาดเกมส์โกง รวมทั้งได้มีการขยายสาขาเพิ่ม 4 สาขา ได้แก่ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ราชบุรี, บิ๊กซี เพชรบุรี, เซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา และเซ็นทรัลพลาซา มหาชัย
ปัจจุบันโรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ มีทั้งหมด 57 สาขา 371 โรงภาพยนตร์ รวมกว่า 81,300 ที่นั่ง รวมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอีก 27 จังหวัด (แบ่งเป็นกรุงเทพ 20 สาขา 166 โรงภาพยนตร์ และต่างจังหวัด 37 สาขา 205 โรงภาพยนตร์)
พร้อมกันนี้ ในแผนการเข้าสู่การเป็นบริษัทมหาชนอย่างสมบูรณ์ บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการสอบทานเพื่อเตรียมพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะได้เข้าตลาดในปี 2562