โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน (Joel Edgerton) เพิ่งจะส่งผลงานชิ้นใหม่เรื่อง Red Sparrow ที่เขาได้โคจรมาร่วมงานกับเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) ออกมาให้แฟน ๆ ได้ชมกันไปหมาด ๆ และในระหว่างเดินสายโปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้เอ็ดเกอร์ตันก็มีโอกาสได้เปิดใจถึงมุมมองที่มีต่ออาชีพในวงการบันเทิงของเขาผ่านสื่อ RTE Entertainment ด้วย เอ็ดเกอร์ตันบอกว่าการเป็นนักแสดงมันทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เป็นเด็กอีกครั้ง ขณะที่การได้เป็นผู้กำกับมันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เป็นพ่อแม่ในกองถ่าย
นอกจากงานแสดงที่ทำให้ชื่อของโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแล้ว ในช่วงหลายปีให้หลังมานี้เขาก็มีโอกาสได้ลองชิมรางงานเบื้องหลังมานั่งแท่นกำกับทั้งหนังสั้นและหนังยาวไปแล้วถึง 4 เรื่อง ซึ่งเขาได้เผยถึงความรู้สึกที่ได้ลองมาทำงานหลังกล้อง หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตอยู่หน้ากล้องภายใต้แสงสปอร์ตไลท์มานานหลายปีว่า "ผมรักการที่ได้มาทำงานเบื้องหลัง ผมรักในความท้าทายของมัน"
จากนั้นเอ็ดเกอร์ตันก็ได้เผยถึงมุมมองที่เขามีต่ออาชีพนักแสดงของเขาว่า "ผมคิดว่าการเป็นนักแสดงมันเหมือนการได้เป็นเด็ก ซึ่งคุณจะได้ลุกขึ้นมาจากเตียงในชุดนอนของคุณไปทำงานเลยจริง ๆ แล้วพวกเขาก็จะแต่งหน้าแต่งตัวให้คุณนานเท่าที่คุณจะสามารถพูดทุกคำให้ถูกต้องตามคำสั่งแล้วก็ทำทุกอย่างทั้งหมดนั้นด้วย... คุณจะได้ไปเพื่อทำงานเพื่อแสดง แล้วจากนั้นคุณก็กลับบ้าน และคุณก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้รับผิดชอบ"
"การเป็นผู้กำกับคือการที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ดังนั้นมันเลยให้ความรู้สึกเหมือนการเป็นพ่อแม่ แต่ผมก็รักในความสามารถที่ผมสามารถก้าวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ ผมไม่รู้ว่าผมจะได้กำกับไปตลอดมั้ย แต่แน่นอนว่าผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการแสดงเพิ่มขึ้นเยอะเลยด้วยการทำมัน แล้วผมก็ได้เรียนรู้เยอะมากเกี่ยวกับการกำกับด้วยการเป็นนักแสดง" เอ็ดเกอร์ตันเสริม
นอกจากผลงานเรื่อง Red Sparrow แล้ว เอ็ดเกอร์ตันก็กำลังจะส่งผลงานภาพยนตร์แอ็คชั่น-คอมเมดี้เรื่อง Gringo จากฝีมือกำกับของพี่ชายแท้ ๆ ของเขา แนช เอ็ดเกอร์ตัน (Nash Edgerton) ตามออกมาให้ชมกันติด ๆ ในวันที่ 8 มีนาคมนี้ด้วย ซึ่งเอ็ดเกอร์ตันบอกว่ามันมีความกดดันยิ่งกว่าการทำหนังดราม่า เมื่อต้องมาทำหนังคอมเมดี้ "เพราะผมไม่ใช่คนตลกแบบนั้น จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้ให้โอกาสผมมาแสดงหนังคอมเมดี้บ่อย ๆ และเมื่อพวกเขาทำ พวกเขาก็รู้สึกเสียใจกับมัน ความจริงแล้วพี่ชายของผมเพิ่งได้ทำหนังคอมเมดี้ออกมาเรื่องหนึ่ง มันออกมาในช่วงหนึ่งหรือสองสัปดาห์นี่แหละ แล้วผมก็พบว่าการทำแบบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเหมือน 'ว้าว มันมีควากดดันในจุดนี้เยอะเลยล่ะ' เพราะคุณไม่รู้ว่ามันจะตลกหรือไม่ตลกกันแน่"
"อย่างน้อยที่สุดถ้าคุณกำลังแสดงโชว์อยู่ในบาร์หรือที่ไหนสักแห่ง คุณจะได้ยินผู้ชมหัวเราะหรือไม่หัวเราะทันที แต่ในกองถ่ายถึงแม้ทีมงานจะบอกคุณว่าคุณเป็นคนตลก คุณก็ไม่รู้จริง ๆ หรอกว่านั่นมันตลกแน่รึป่าว" เอ็ดเกอร์ตันกล่าว "สำหรับหนังดราม่า ผมจะรู้สึกปลอดภัยกว่าในการทำ เพราะมันไม่ได้มีความคาดหวังต่อบางสิ่งในทันที เมื่อผมอยู่ในกองถ่ายแล้วก็กำลังทำบางสิ่งที่หนัก ๆ ผมจะรู้สึกอยากขว้างปาสิ่งของ สะบัดหลาย ๆ ออกไป แล้วก็อยากจะได้สนุกเล็กน้อยระหว่างนั้น แต่ผมก็ชอบทำแบบนั้นนะ ตราบนานเท่าที่มันไม่ได้เข้ามาอยู่ในเส้นทางของการทำงาน ผมคิดว่ามันก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะได้หัวเราะสักหน่อยเหมือนกัน"
ที่มา: Rte.ie