ผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ได้ชี้แจงถึงเหตุผลที่พวกเขาตัดสินใจให้แจ็คตายในตอนจบของหนัง Titanic ขณะให้สัมภาษณ์กับสื่อ Vanity Fair ว่า "ถ้าเขายังมีชีวิตรอด ตอนจบของหนังมันก็คงจะไม่มีความหมาย หนังเรื่องนี้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตายและการพลัดพราก ดังนั้นเขาจึงต้องตาย"
คาเมรอนกล่าวต่อว่า "คำตอบมันเป็นอะไรที่ธรรมดามาก ๆ เลยนะ เพราะมันได้บอกเอาไว้บนสคริปท์หน้า 147 แล้วว่าแจ็คตาย ธรรมดามาก... เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นทางเลือกแห่งศิลปะ สิ่งนั้นมันยิ่งใหญ่พอที่จะรักษาเธอเอาไว้ แต่มันไม่ได้ยิ่งใหญ่พอที่จะรักษาเขาเอาไว้ด้วย... ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ จริง ๆ นะ ที่เรามาถกเถียงกันเรื่องนี้ในช่วง 20 ปีให้หลัง แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มันได้ผลต่อความรู้สึก ในการทำให้แจ็คกลายเป็นที่รักยิ่งสำหรับผู้ชม ซึ่งมันก็เลยทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจที่ต้องเห็นเขาตายไป"
คาเมรอนยังบอกอีกว่าไม่ว่าแจ็ค (รับบทโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) จะตายในน้ำหรืออุบัติเหตุอันน่าสลดอื่นใดก็ตาม ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่มีวันทำให้ตอนจบของหนังแจ็คได้ลงเอยกับโรส (รับบทโดย เคท วินสเลต) อย่างแน่นอน "แม้ว่ามันจะเป็นแบบนั้น หรือปล่องไฟหล่นลงมาใส่เขาก็ตาม เขาจะต้องจมลงไป มันถูกเรียกว่างานศิลปะ หลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นเพื่อเหตุผลทางศิลปะ ไม่ใช่เพื่อเหตุผลทางฟิสิกส์"
เมื่อถูกถามถึงความเป็นได้ของสถานการณ์เชิงฟิสิกส์ คาเมรอนก็บอกว่า "มันเป็นท่วงทำนองอันดีงาม" เพื่อให้บทภาพยนตร์มันดูฟังขึ้นและไร้ความผิดพลาด "ตอนนั้นผมคงต้องลอยอยู่ในน้ำพร้อมกับท่อนไม้ที่ใช้เคลื่อนย้ายผู้คนบนนั้น คงจะต้องใช้เวลาสัก 2 วันเพื่อทำให้มันพอที่จะลอยน้ำได้จริง ๆ ซึ่งนั่นมันคงจะช่วยคนได้สักหนึ่งคน พร้อมกับท่อนไม้ข้างเรือ นั่นหมายความว่าเธอจะไม่ได้แช่ตัวลงไปในน้ำระดับ 28 ดีกรีซะทั้งตัว ดังนั้นเธอจึงสามารถเอาตัวรอดได้ในช่วงเวลา 3 ชั่วโมงจนกระทั่งเรือกู้ภัยมาถึงที่นั่น ส่วนแจ็คก็ไม่รู้ว่าเธอได้รับความช่วยเหลือจากเรือกู้ชีพไปเป็นชั่วโมงแล้ว ดังนั้นไม่ว่ายังไงเขาก็ตายอยู่ดี และเราว่ามันเป็นท่วงทำนองที่ดีงามมาก ๆ จริง ๆ ที่มันเป็นแบบที่คุณได้เห็นในหนังแบบนั้น เพราะผมเชื่อมั่นในช่วงเวลานั้น และก็ยังคงจะทำแบบนั้นอยู่ ซึ่งนั่นมันคือสิ่งที่มันควรจะเป็นเพื่อให้คนเพียงคนเดียวได้มีชีวิตรอด"
ที่มา: Ew.com